วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2558

10 อันดับสถานที่ท่องเที่ยวในญี่ปุ่น ที่ต้องไปเยือน

10 อันดับสถานที่ท่องเที่ยวในญี่ปุ่น ที่ต้องไปเยือน
     1. พระราชวังอิมพีเรียล
10 สถานที่ท่องเที่ยวญี่ปุ่น
 
           พระราชวังอิมพีเรียล แต่เดิมมีชื่อว่า พระราชวังเอะโดะ อีกหนึ่งสถานท่องเที่ยวที่สำคัญแห่งหนึ่งในประวัติศาสตร์ ตั้งอยู่ที่เมืองโตเกียว เพราะเป็นสถานที่ประทับของสมเด็จพระจักรพรรดิแห่งราชวงศ์เมจิ แห่งประเทศญี่ปุ่น เดิมที่นี่เป็นหมู่บ้านประมงเล็กที่ชื่อ เอะโดะ ที่ถูกตั้งเป็นฐานที่มั่น รวมทั้งถูกตั้งเป็นศูนย์กลางของรัฐบาลทหาร ต่อมาได้ขยายเมืองให้ใหญ่ขึ้น จนมีประชากรและพื้นที่เมืองขนาดใหญ่มากขึ้น หลังจากนั้นเข้าสู่ยุคปฏิรูปเมจิ การล้มล้างการปกครองแบบโชกุนลง จักรพรรดิเมจิจึงย้ายเมืองหลวงมาที่เอะโดะ และเปลี่ยนชื่อเมืองเป็นโตเกียวในปัจจุบัน ที่นี่จึงเป็นศูนย์กลางทางการปกครองและวัฒนธรรมของประเทศ และถูกเปลี่ยนให้เป็นพระราชวังในเวลาต่อมา มีชื่อเรียกว่า พระราชวังอิมพิเรียล ในปัจจุบัน

           ซึ่งภายในล้อมรอบด้วยคูเมือง ประตูทางเข้าที่งดงาม และป้อมปราการเก่าแก่ตั้งอยู่ห่างกันเป็นช่วง ๆ ทางเข้าหลักอยู่ใกล้กับนิจูบะชิ สะพานสองชั้น และจะเปิดให้คนภายนอกเข้าชมตามวาระพิเศษต่าง ๆ สวนตะวันออกฮิงะชิ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นที่ตั้งของหอคอยใหญ่ ภายในสวนงดงามไปด้วยดอกไม้หลากหลายพันธุ์ และจะผลิบานตามแต่ฤดูกาล เหมาะสำหรับทุกคนที่ต้องการสถานที่พักผ่อนในอุดมคติ


           2. โตเกียว ทาวเวอร์
10 สถานที่ท่องเที่ยวญี่ปุ่น

           โตเกียว ทาวเวอร์ หอคอยสื่อสารขนาดใหญ่ที่สวยงามมาก ตั้งอยู่ในเขตมินะโตะ กรุงโตเกียว เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงเพราะใน 1 ปี มีผู้ร่วมเข้าชมถึง 2 ล้าน 5 คน อีกทั้งยังเป็นเหมือนสัญลักษณ์เพื่อแสดงถึงอำนาจและอิทธิพลทางเศรษฐกิจของโลก เป็นที่ถ่ายทอดสัญญาณโทรทัศน์ วิทยุ ซึ่งที่นี่ได้แรงบันดาลใจมาจากหอคอยสูงในปารีส สร้างในสไตล์สถาปัตยกรรมโบราณแบบญี่ปุ่น ทั้งนี้ โตเกียว ทาวเวอร์ จะเปิดทำการตั้งแต่ 09.00-20.00 น. โดยไม่มีวันหยุด ใครที่มาเที่ยวญี่ปุ่นแล้วไม่มาเยือนที่นี่ถือว่ามาไม่ถึงญี่ปุ่นเลย

            3. หมู่บ้านประวัติศาสตร์ชิราคาวาโกะ
10 สถานที่ท่องเที่ยวญี่ปุ่น

            ชิราคาวาโกะ (Shirakawako) หมู่บ้านท่ามกลางหุบเขา ตั้งอยู่ในจังหวัดกิฟุ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกแห่งที่ 6 ในประเทศญี่ปุ่น เพราะเป็นหมู่บ้านที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น หลังคามุงด้วยฟางข้าว สร้างขึ้นด้วยมือที่เรียกว่า การสร้างบ้านแบบ กัตโชทสึคุริ (Gassho-zukuri) เป็นบ้านชาวนาโบราณที่มีอายุมากกว่า 250 ปี คำว่า "กัสโช" หมายความว่า พนมมือ ซึ่งเป็นการบ่งบอกถึงลักษณะรูปแบบของบ้านที่มีหลังคามุงด้วยฟางข้าวชันถึง 60 องศา คล้ายสองมือที่พนมเข้าหากัน มุงแบบลาดลงคล้ายหน้าจั่ว เพื่อให้ทนทานต่อหิมะและลมในฤดูหนาว ตัวบ้านมีความยาวประมาณ 18 เมตร และมีความกว้าง 10 เมตร สร้างขึ้นโดยไม่ใช้ตะปู ซึ่งบางแห่งสามารถเข้าพักค้างคืนได้ แถมยังเป็นกิจการที่เปิดภายในครัวเรือนที่เปิดให้นักท่องเที่ยวได้เห็นการใช้ชีวิตแบบดั่งเดิมของชาวญี่ปุ่นอย่างแท้จริง

         4. ภูเขาฟูจิ
10 สถานที่ท่องเที่ยวญี่ปุ่น

              ภูเขาฟูจิ เป็นภูเขาที่สูงที่สุดในญี่ปุ่นและอาจกล่าวได้ว่าเป็นภูเขาที่สวยที่สุดในโลก มีความสูงถึง 3,776 เมตร ตั้งอยู่ระหว่างจังหวัดยะมะนะชิและชิซุโอะกะ และสามารถมองเห็นได้จากโตเกียวและโยโกฮาม่าในวันที่ท้องฟ้าปลอดโปร่ง วิธีที่จะได้เห็นภูเขาฟูจิที่ง่ายที่สุด คือ นั่งชมจากรถไฟสายโทไกโดที่วิ่งระหว่างเมืองโตเกียวและโอซาก้า ถ้าคุณนั่งชินกันเซ็นจากโตเกียวที่มุ่งหน้าไปยังนาโงย่า เกียวโต และโอซาก้า ช่วงที่จะได้เห็นภูเขาฟูจิ คือ ช่วงสถานีชิน-ฟูจิ หรือประมาณ 40-45 นาที หลังจากออกจากโตเกียว ซึ่งจะมองเห็นได้ทางด้านขวามือของรถไฟ แต่สำหรับผู้ที่อยากชมภูเขาฟูจิอย่างเต็มอิ่ม และแวดล้อมด้วยธรรมชาติที่งดงามขอเชิญที่ ทะเลสาบทั้งห้า (Fuji Five Lake or Fujigoko)หรือที่ ฮะโกะเนะ ซึ่งเป็นรีสอร์ทบ่อน้ำพุร้อนและเป็นหนึ่งใน อุทยานแห่งชาติ Fuji-Hakone-Izu
               นอกจากนี้ รอบ ๆ ภูเขาฟูจิเต็มไปด้วยธรรมชาติอันงดงาม และเป็น อุทยานแห่งชาติฟูจิฮะโกะเนะอิซุ มีทะเลสาบ 5 แห่ง ได้แก่ ยะมะนะกะโกะ คะวะงุจิโกะ โมโตสุโกะ โชจิโกะ ไซโกะ และมีออนเซนหลายแห่ง ได้แก่ ยะมะนะกะโกะ คะวะงุจิโกะ โอชิโนะโกะ ฯลฯ นับได้ว่า ภูเขาฟูจิ มีอิทธิพลต่อศิลปวัฒนธรรมของญี่ปุ่นมาตั้งแต่สมัยโบราณ มีชื่อภูเขาปรากฏอยู่ในบทกลอนญี่ปุ่นหรือภาพพิมพ์ญี่ปุ่น และทุกวันนี้ไม่ว่าจะเป็นชื่อบริษัท ชื่อสินค้า และอื่น ๆ อีกมากมาย ล้วนตั้งชื่อว่า ฟูจิ เรียกว่าภูเขาฟูจินี้เป็นหัวใจของญี่ปุ่นก็ว่าได้
                  5. ช้อปปิ้งย่านสุดฮิตที่ย่านชินจูกุ ฮาราจูกุ โอไดบะ
10 สถานที่ท่องเที่ยวญี่ปุ่น

               เมื่อมาเที่ยวที่ญี่ปุ่น อีกสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้ ก็คือ การช้อปปิ้ง ซึ่งที่ญี่ปุ่นก็มีแหล่งช้อปที่หลายหลาย แต่ที่ไม่ควรพลาดเลย คือ ย่านชินจุกุ (Shinjuku) แหล่งท่องเที่ยวทันสมัยฝั่งตะวันตกของโตเกียว นับเป็นแหล่งช้อปปิ้งและสถานบันเทิงยามค่ำคืนยอดนิยมที่มีชื่อเสียง โดยยามกลางวันสามารถแวะชมสวนสาธารณะชินจุกุเกียวเอ็นที่เงียบสงบ, ย่านชิบุยะ (Shibuya) เป็นศูนย์กลางแฟชั่นและวัฒนธรรมสมัยใหม่ของวัยรุ่น ใกล้กับ ศาลเจ้าเมจิ ที่เงียบสงบ ติดต่อกันเป็นแหล่งช้อปปิ้งยอดนิยมและสวรรค์ของคนรุ่นใหม่ คือ ย่านฮาราจูกุ และ ย่านโอไดบะ ที่สร้างขึ้นจากการถมทะเลในอ่าวโตเกียว เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของเหล่านักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ เพราะที่นี่มีทั้งแหล่งบันเทิงขนาดใหญ่ ชิงช้าสวรรค์ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ที่เป็นสัญลักษณ์ของเรนโบว์ ทาวน์ ที่เหล่าคู่รักวัยรุ่นนิยมขึ้นชิงช้าชมวิวทิวทัศน์ยามค่ำคืนที่สวยงาม


                6. โอซาก้า
10 สถานที่ท่องเที่ยวญี่ปุ่น

                เมืองโอซาก้า (Osaka) เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดอันดับสามของญี่ปุ่น และเป็นศูนย์รวมทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมสำหรับญี่ปุ่นตะวันตก ตั้งอยู่ที่ปากแม่น้ำโยโดะ มีคลองที่เชื่อมโยงกันไปมาภายใต้ถนนหลายเส้น ซึ่งนั่นเป็นปัจจัยสำคัญที่นำความเจริญก้าวหน้ามาสู่เมือง และในฐานะที่เป็นเมืองดั้งเดิมจึงมีความภาคภูมิใจที่ได้เป็นต้นแบบของ ละครหุ่นกระบอกบุนระคุ นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวยังไม่ควรพลาดชม อ่าวโอซาก้า ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางความทันสมัยที่สุด และสวนสนุก Universal Studios Japan

               แต่ที่พลาดไม่ได้อย่างยิ่ง คือ ปราสาทโอซาก้า ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นปราสาทที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น สร้างขึ้นในปี 1586 โดย โทโยโทมิ ฮิเดโยชิ ปัจจุบันเป็นป้อมปราการสูงห้าชั้น จำลองแบบจากของเดิม เก็บรักษาศิลปวัตถุโบราณหลายชิ้น ทั้งเอกสารที่เกี่ยวข้องกับตระกูลโทโยโทมิและโอซาก้าในอดีต สำหรับแหล่งบันเทิงและย่านช้อปปิ้งที่จะต้องแวะ คือ ย่านอุเมะดะ และ ย่านนัมบะ ที่มีสถานีรถไฟและศูนย์การค้าใต้ดินที่ทันสมัยอยู่จำนวนมาก สำหรับนักจับจ่ายซื้อของและนักชิมอาหาร "คุอุดะโอะเระ" ถนนนักชิมที่มีชื่อเสียงสมคำเล่าลือ ที่ว่าโอซาก้าเป็นเมืองสำหรับนักชิมอย่างแท้จริง อาหารขึ้นชื่อของที่นี่ เช่น ยากินิกุ, ซูชิ และทาโกะยากิ


               7. ปราสาทฮิเมะจิ
10 สถานที่ท่องเที่ยวญี่ปุ่น

               ปราสาทฮิเมะจิ (Himeji Castle) ตั้งอยู่เมืองฮิเมะจิ เป็นปราสาทที่สวยที่สุดอีกแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น ที่ยังคงรักษาไว้เป็นสมบัติของชาติ และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก พร้อมทั้งได้มีการปิดเพื่อทำการปฏิสังขรณ์เป็นเวลา 5 ปี ตั้งแต่ปี 2009-2014 แต่นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมภายในและชมกระบวนการซ่อมแซมได้อย่างใกล้ชิด

               ปราสาทฮิเมะจิ เป็นอีกหนึ่งสถานที่สำคัญเพราะเป็นสิ่งก่อสร้างที่เก่าแก่ ที่เหลือสุดรอดมาจากยุคสงคราม และได้รับการรับรองจากยูเนสโกให้เป็นมรดกโลก เพราะยังคงความเป็นเอกลักษณ์ สถาปัตยกรรม และยุทโธปกรณ์ครบตามแบบของปราสาทญี่ปุ่น ทั้งฐานหินสูง กำแพงสีขาว และอาคารต่าง ๆ ในบริเวณปราสาท ถือได้ว่าเป็นมาตรฐานตามแบบของปราสาทญี่ปุ่น

               อีกทั้งรอบ ๆ ปราสาทยังมีเครื่องป้องกันอีกมากมาย เช่น ช่องใส่ปืนใหญ่ รูสำหรับโยนหินออกนอกปราสาท และลักษณะที่เด่นชัดของปราสาทนี้ คือ ทางเดินสู่อาคารหลักซึ่งสลับซับซ้อนราวกับเขาวงกต ทั้งประตูและกำแพงในปราสาทได้รับการออกแบบมาอย่างดีเพื่อป้องกันศัตรูไม่ให้บุกรุกเข้าถึงได้โดยง่าย โดยทางเดินมีลักษณะเป็นวงก้นหอยรอบ ๆ อาคารหลัก และระหว่างทางก็จะพบทางตันอีกมากมาย และจนทุกวันนี้ปราสาทฮิเมะจิก็ยังไม่เคยถูกโจมตีเลย ระบบการป้องกันต่าง ๆ จึงยังไม่เคยถูกใช้งาน


               8. วัดโทไดจิ
10 สถานที่ท่องเที่ยวญี่ปุ่น

               วัดโทไดจิ (Todaiji Temple) วัดพุทธที่สำคัญและเก่าแก่ที่สุดของเมืองนารา ได้ชื่อว่าเป็นสิ่งก่อสร้างด้วยไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก อีกทั้งยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกร่วมกับศาลเจ้าและสถานที่สำคัญของเมืองนาราอีก 7 แห่ง ภายในวัดมี หอไดบุทสึ (Daibutsuden) หรือวิหารไม้ที่ได้ชื่อว่าใหญ่ที่สุดในโลก เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปไดบุทสึหล่อสำริดขนาดใหญ่ สูง 14.98 เมตร น้ำหนักราว 500 ตัน หล่อโดยช่างสมัยเท็มเปียว (729-764)


               9. ฮอกไกโด
10 สถานที่ท่องเที่ยวญี่ปุ่น

               ฮอกไกโด (Hokkaido) เป็นเกาะใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น ถือเป็นสวรรค์ของธรรมชาติ สามารถท่องเที่ยวได้ตลอดปี มีธรรมชาติที่ยังไม่ถูกทำลาย ทั้งภูเขา ที่ราบสูง แม่น้ำ ทะเลสาบ บ่อน้ำพุร้อน และชายฝั่งทะเล มีอากาศหนาวเย็นในฤดูหนาว มีหิมะที่ขาวละเอียดดุจแป้งฝุ่นและสกีรีสอร์ท ที่ดึงดูดนักเล่นสกีจากทั่วโลก ขณะที่ในฤดูใบไม้ผลิ ซากุระจะบานช้ากว่าภูมิภาคอื่นในญี่ปุ่น สามารถชมซากุระได้ในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม ส่วนฤดูร้อนอากาศจะไม่ร้อนเหมือนส่วนอื่น ๆ เพราะมีทุ่งดอกไม้ต่าง ๆ ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง และในฤดูใบไม้ร่วงใบไม้จะเปลี่ยนสีก่อนที่อื่น ๆ ในประเทศญี่ปุ่นเริ่มตั้งแต่กลางเดือนกันยายนจนถึงตุลาคม

               โดยมี เมืองซัปโปโร (Sapporo) เป็นเมืองหลวงของฮอกไกโด ซึ่งในซัปโปโรมี สวนสาธารณะโอโดริ ซึ่งเป็นที่จัดแสดงงานเทศกาลหิมะที่มีชื่อเสียง สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกเข้ามาชมงานในเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี นอกจากนี้ ยังมีหอนาฬิกาอันเก่าแก่ และที่ว่าการเมืองฮอกไกโด อีกทั้งย่านร้านค้าซุซุกิโนะ ซึ่งเป็นศูนย์การค้า และแหล่งจับจ่ายซื้อของที่มีชื่อเสียงของเมืองนี้

               เมืองฮะโกะดะเตะ (Hakodate) เป็นเมืองท่าชายทะเลที่สำคัญ ที่ตั้งอยู่ทางใต้สุดของฮอกไกโด ในยามเช้าสามารถเที่ยวตลาดสดขายอาหารทะเลสด ๆ ที่มีให้ชิม ยามสายเที่ยวชมโบสถ์ และป้อมปราการโบราณในเมือง ยามเย็นนั่งกระเช้าลอยฟ้าขึ้นไปบนเขาฮะโกะดะเตะ ชมทิวทัศน์ยามราตรีที่สวยงามได้รอบทิศ ด้านเมืองอะซะฮิกะวะ (Asahikawa) ตั้งอยู่ใจกลางเกาะไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองซัปโปโร ใช้เวลาเดินทางประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่งโดยรถไฟด่วนจากเมืองซัปโปโร และจากเมืองอะซะฮิกะวะไปทางตะวันออกจะมี อุทยานแห่งชาติไดเซะทสุซัง ซึ่งมี บ่อน้ำแร่โซอุนเกียว ให้เพลิดเพลินในฤดูใบไม้เปลี่ยนสี

               นอกจากนี้ ฮอกไกโดยังมีธรรมชาติอันสวยงามที่เป็นชายฝั่งทะเลใกล้ เมืองอะบะชิริ (Abashiri) มีธารน้ำแข็งให้ชมในฤดูหนาว และ คาบสมุทรชิเระโตะโกะ (Shiretoko) ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติด้วย อีกทั้งทะเลสาบอะคัง ทะเลสาบมาชูและ ทะเลสาบคุชิโระ และทางตะวันตกของฮอกไกโดมี เมืองโอะตะรุ (Otaru) เป็นเมืองท่าที่เคยเจริญรุ่งเรืองในฐานะเมืองค้าขาย ในช่วงศตวรรษที่ 19-20 รอบ ๆ เมืองจะมีคลองโอะตะรุ เป็นโบราณสถาน แสดงให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรืองในสมัยบุกเบิก มีถนนร้านซูชิที่สดที่สุดในโลกให้ลองลิ้มชิมรส

              10. ชมทุ่งดอกลาเวนเดอร์ ณ ฟุระโนะ
10 สถานที่ท่องเที่ยวญี่ปุ่น

               เมืองฟุระโนะ 
ตั้งอยู่ใจกลางฮอกไกโดพอดี เป็นที่รู้จักกันในนามทุ่งดอกไม้ที่มีภูเขาล้อมรอบไว้ ทำให้ที่นี่มีความแตกต่างของอากาศในช่วงฤดูหนาวกับฤดูร้อนราว 30 องศา และที่สำคัญที่นี่มีชื่อเสียงในด้านการท่องเที่ยวทั้งในช่วงฤดูร้อนและฤดูหนาว ในหน้าร้อนจะมีสวนดอกไม้ที่สวยงาม โดยเฉพาะที่ ฟาร์มโทมิตะ ซึ่งมีการปลูกลาเวนเดอร์ที่ทั้งสวยงามและกว้างใหญ่ไพศาล รวมทั้งดอกไม้อื่น ๆ โดยที่นี่จะมีนักท่องเที่ยวมากในช่วงปลายเดือนมิถุนายนจนกระทั่งกลางเดือนกันยายน ส่วนในช่วงฤดูหนาวที่นี่จะปกคลุมไปด้วยหิมะหนามาก ทำให้กลายเป็นลานสกีที่มีชื่อเสียง และเปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวได้เพลิดเพลินกับลานสกีในช่วงกลางเดือนธันวาคมถึงกลางเดือนมีนาคมของทุกปี

              เรียกได้ว่า 10 อันดับสถานที่ท่องเที่ยวในญี่ปุ่น ที่เรานำมาฝากนี้ จะเป็นทางเลือกที่ดีในการวางแผนเที่ยวญี่ปุ่น เพื่อที่เราจะได้ไม่พลาดแหล่งท่องเที่ยวสำคัญสักที่เลยจ้า

มนุษย์กับความเป็นมา

มนุษย์กับความเป็นมา

1. ความหมายและลักษณะสำคัญของมนุษย์    พจนานุกรม  ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525  ได้ให้ความหมายของคำว่า  “มนุษย์”  ไว้ดังนี้ มนุษย์ หมายถึง สัตว์ที่รู้จักใช้เหตุผล  สัตว์ที่มีจิตใจสูง คน
    ในสาขาวิชาต่างๆ ได้กล่าวถึงมนุษย์ไว้หลายประการ ดังเช่น ในสาขามนุษยศาสตร์กล่าวถึงมนุษย์ว่า มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐหรือสัตว์ที่มีจิตใจสูง ในสาขาสังคมศาสตร์กล่าวถึงมนุษย์ว่า มนุษย์เป็นสัตว์สังคม และในสาขาวิทยาศาสตร์ ก็จัดว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งในอาณาจักรสัตว์
    จากความหมายของมนุษย์ตามที่ปรากฏในพจนานุกรม   รวมทั้งการกล่าวถึงมนุษย์ในลักษณะต่างๆ ตามแนวคิดของแต่ละสาขา จะพบว่ามนุษย์กับสัตว์นั้นมีลักษณะบางประการร่วมกันอยู่ และมีลักษณะบางประการแตกต่างกันออกไป
��� ��� ���ชาร์ลส์  ดาร์วิน  (Charles  Darwin) นักปราชญ์ชาวอังกฤษผู้สร้างทฤษฎีวิวัฒนาการ ได้ชี้ให้เห็นลักษณะซึ่งมนุษย์และสัตว์มีอยู่ร่วมกันเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2402 และเป็นที่ยอมรับกันตั้งแต่นั้นมา ลักษณะซึ่งมนุษย์และสัตว์มีอยู่ร่วมกันนั้น คือลักษณะสากลของสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย เช่นมีความต้องการอาหาร น้ำ อากาศ เพื่อการดำรงชีวิต มีความสามารถในการสืบพันธุ์ ต้องพึ่งพาอาศัยสิ่งแวดล้อมทั้งทางกายภาพและชีวภาพ เป็นต้น  การที่สิ่งมีชีวิตทุกชนิดมีลักษณะที่เหมือนๆ กันอยู่ส่วนหนึ่ง ทั้งนี้เนื่องจากสิ่งมีชีวิตทั้งหลายวิวัฒนาการมาจากจุดเริ่มต้นเดียวกัน และเนื่องจากกระบวนการวิวัฒนาการ สิ่งมีชีวิตจึงได้มีการพัฒนาการมาโดยลำดับ เพื่อให้สามารถดำรงชีวิตและขยายพันธุ์สืบต่อๆ กันไป และมีผลทำให้สิ่งมีชีวิตต่างๆ มีลักษณะที่แตกต่างกันออกไป เกิดลักษณะพิเศษที่เป็นเอกลักษณ์ของสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิด มนุษย์มีลักษณะพิเศษหลายประการที่บรรดาสัตว์และสิ่งมีชีวิตต่างๆ ไม่มี จนทำให้บางคนไม่ยอมรับว่ามนุษย์คือสัตว์ชนิดหนึ่ง ลักษณะพิเศษของมนุษย์  เช่นสามารถกินอาหารได้มากมายหลายประเภท  กินได้ทั้งพืชและสัตว์ มีลักษณะลำตัวตั้งตรงกับพื้นโลก เคลื่อนที่ด้วยขาสองขา     มีความเฉลียวฉลาด สามารถดัดแปลงสิ่งแวดล้อมมาใช้ประโยชน์ได้        ลักษณะของมนุษย์มีความได้เปรียบกว่าสัตว์ประเภทอื่นๆ  โดยเฉพาะสมองของมนุษย์ที่มีขนาดใหญ่กว่าสัตว์ประเภทอื่นๆ เมื่อเทียบกับขนาดของร่างกาย  นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการเปรียบเทียบน้ำหนักของร่างกายกับขนาดของสมองของสัตว์หลายชนิด ผลปรากฏว่าร่างกายของมนุษย์จะมีน้ำหนักมากกว่าน้ำหนักของสมองมนุษย์เองประมาณ 50 เท่าตัว ร่างกายของสุนัขจะมีน้ำหนักมากกว่าสมองของมันประมาณ 110 เท่าตัว ส่วนช้างจะมีน้ำหนักของร่างกายมากกว่าสมองประมาณ 1,000 เท่า  ด้วยสมองที่มีขนาดใหญ่และทรงคุณภาพยิ่ง  ทำให้มนุษย์มีสติปัญญาในการประดิษฐ์คิดค้นสิ่งต่างๆ เพื่อประโยชน์ในการดำรงชีวิต มีความสามารถในการเรียนรู้ได้อย่างมากมาย  รู้จักสร้างภาพหรือสัญลักษณ์  รู้จักสร้างเครื่องมือในการสื่อความหมาย รู้จักใช้เหตุผลในการแก้ปัญหา มนุษย์สามารถสะสมและถ่ายทอดวัฒนธรรมจากรุ่นหนึ่งไปยังรุ่นต่อๆ ไปได้


  


ภาพที่ 1.1  เปรียบเทียบลักษณะทางกายภาพของมนุษย์ และสัตว์
2. วิวัฒนาการของมนุษย์
   
    วิวัฒนาการ (evolution) ในทางชีววิทยา หมายถึงการเปลี่ยนแปลงของสิ่งมีชีวิตทีละเล็กละน้อย จากสิ่งที่มีโครงสร้างหรือองค์ประกอบอย่างง่ายๆ ไปเป็นสิ่งที่มีโครงสร้างหรือองค์ประกอบที่สลับซับซ้อน อย่างค่อยเป็นค่อยไป ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ทำให้สิ่งมีชีวิตนั้นแตกต่างไปจากเดิม นักวิทยาศาสตร์สันนิษฐานว่าสิ่งมีชีวิตบนโลกอาจวิวัฒนาการมาจากเซลล์เพียงเซลล์เดียว หลังจากสิ่งมีชีวิตแรกเริ่มเกิดขึ้นในโลก  สิ่งแวดล้อมได้มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมตลอดเวลา    สิ่งมีชีวิตที่เกิดขึ้นใหม่ก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง  เกิดการคัดเลือกตามธรรมชาติ (natural  selection) จนได้สิ่งมีชีวิตที่มีโครงสร้างต่างๆ กัน  จากสิ่งมีชีวิตง่ายๆ วิวัฒนาการไปเป็นสิ่งมีชีวิตที่สลับซับซ้อน กลายเป็นพืช สัตว์ และมนุษย์  สิ่งมีชีวิตบางชนิดที่ไม่แข็งแรงและมีลักษณะบางอย่างเฉพาะเกินไปจนไม่สามารถทนต่อสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปได้  ก็จะค่อยๆ ตายและสูญพันธุ์ไป   คงเหลือแต่พวกที่สามารถทนต่อสภาพแวดล้อมได้    และวิวัฒนาการต่อมาเป็นสิ่งมีชีวิตในปัจจุบัน จึงกล่าวได้ว่าวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตทั้งหลายรวมทั้งมนุษย์เป็นกระบวนการปรับตัวของสิ่งมีชีวิตเข้ากับสภาพแวดล้อม     จากการศึกษาซากดึกดำบรรพ์ (fossil) ของสิ่งมีชีวิตแรกที่สุดจนถึงยุคปัจจุบัน    ทำให้นักวิทยาศาสตร์สรุปได้ว่ามนุษย์ได้วิวัฒนาการมาจากไพรเมต (Primate คือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมชั้นสูงมีรูปร่างคล้ายลิง) เมื่อประมาณ 60 ล้านปีมาแล้ว  ไพรเมตเป็นสัตว์ที่มี 5 นิ้ว ส่วนใหญ่ดำรงชีวิตและหากินอยู่บนต้นไม้ โดยอาศัยนิ้วมือนิ้วเท้าที่ค่อนข้างยาวเกาะกิ่งไม้  ต่อมาจึงวิวัฒนาการมาเป็นไดรโอพิทธีคัส  (Dryopithecus คือบรรพบุรุษร่วมกันระหว่างมนุษย์กับลิง)   เมื่อประมาณ 12 - 28 ล้านปีที่ผ่านมา     หลังจากนั้นวิวัฒนาการต่อมาเป็นรามาพิทธีคัส (Ramapithecus)  เมื่อประมาณ 12 - 14 ล้านปีก่อนปัจจุบัน  จากรามาพิทธีคัสจึงได้วิวัฒนาการต่อมาเป็นออสตราโลพิทธีคัส (Australopithecus) และโฮโม ฮาบิลิส  (Homo Habilis หมายถึงมนุษย์ผู้ถนัดใช้มือ) เมื่อประมาณ  4 -  5 ล้านปีมาแล้ว จากหลักฐานพบว่าออสตราโลพิทธีคัสและโฮโม ฮาบิลิส กำเนิดขึ้นในช่วงระยะเวลาเดียวกัน แต่โฮโม ฮาบิลิสได้สูญพันธุ์ไปก่อน นักวิทยาศาสตร์จึงมีความเห็นว่า         ออสตราโลพิทธีคัส คือบรรพบุรุษของโฮมินิด (Hominid คือ สัตว์ในตระกูลมนุษย์) ในช่วงเวลาต่อมา  นั่นก็คือเป็นบรรพบุรุษของโฮโม อีเรคตัส (Homo Erectus หมายถึงมนุษย์ตัวตรง) ซึ่งมีชีวิตอยู่บนโลกเมื่อประมาณ 1,500,000 - 300,000 ปี มาแล้ว  จากโฮโม อีเรคตัสได้วิวัฒนาการต่อมาเป็น โฮโม ซาเพียน (Homo sapien)  ซึ่งเป็นบรรพบุรุษโดยตรงของมนุษย์ปัจจุบัน
     จุดเริ่มต้นของโฮโม  ซาเพียน ซึ่งวิวัฒนาการมาจาก โฮโม อีเรคตัส เกิดขึ้นมาบนโลกนี้ เมื่อประมาณ 300,000 ปีมาแล้ว  โครงกระดูกของ โฮโม ซาเพียน ในยุคแรกๆ พบทั้งในบริเวณทวีปยุโรปและทวีปแอฟริกา  แต่ในระยะหลังๆ ค้นพบในบริเวณต่างๆ ทั่วโลก (ยกเว้นทวีปอเมริกา)
      โฮโม  ซาเพียน  ยุคเก่ามีลักษณะแตกต่างจาก โฮโม ซาเพียน ยุคใหม่ โฮโม ซาเพียน ยุคเก่าจะมีลักษณะเชื่อมต่อระหว่างโฮโม อีเรคตัส กับ โฮโม ซาเพียน  ส่วนโฮโม ซาเพียน ยุคใหม่ ซึ่งเกิดขึ้นมาเมื่อประมาณ 50,000 ปีมาแล้ว มีรูปร่างเหมือนมนุษย์ปัจจุบัน  โฮโม ซาเพียนยุคใหม่ที่มีรูปร่างเหมือนมนุษย์ยุคปัจจุบัน  ได้แก่มนุษย์โคร-มายอง (Cro-magnon man)  ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ได้พบโครงกระดูกของมนุษย์พวกนี้หลายโครงกระดูกด้วยกันในบริเวณถ้ำที่โคร-มายอง  ประเทศฝรั่งเศส  โดยทั่วๆ ไปนักวิทยาศาสตร์ส่วนมากมีความโน้มเอียงเชื่อว่ามนุษย์โคร-มายอง   เป็นบรรพบุรุษที่แท้จริงของมนุษย์แบบปัจจุบัน
     จากหลักฐานต่างๆ  พบว่าที่อยู่อาศัยของมนุษย์โคร-มายองส่วนใหญ่ คือบริเวณถ้ำและกระท่อม หรือที่พักที่ทำด้วยหิน  มนุษย์โคร-มายอง  รู้จักการล่าสัตว์  เช่น  กวาง ม้าป่า  รู้จักสร้างเครื่องมือและอาวุธที่ทำด้วยหิน กระดูก และเขากวาง รู้จักการสร้างงานด้านศิลปะ   มีการแกะสลักภาพบนแผ่นหินและกระดูกสัตว์  งานศิลปะของมนุษย์โคร-มายอง  มีคุณภาพสูงมากจนเป็นที่น่าประหลาดใจ  ผลงานทางด้านศิลปะของมนุษย์โคร-มายอง ได้รับการยกย่องว่าเป็นศิลปกรรมชิ้นแรกของมนุษย์  จากหลักฐานต่างๆ ที่พบ นักวิทยาศาสตร์สรุปว่ามนุษย์โคร-มายอง มีความก้าวหน้ากว่ามนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์พวกอื่นๆ ที่กล่าวมาแล้ว
    เรื่องราวเกี่ยวกับวิวัฒนาการของมนุษย์มิใช่เรื่องที่จะศึกษาให้ได้ความจริงที่ง่ายๆ เพราะเป็นเรื่องของอดีตอันยาวนานมาก แม้จะศึกษาจากซากดึกดำบรรพ์หรือซากกลายเป็นหินของมนุษย์ ก็ยากที่จะค้นพบ และสิ่งที่ค้นพบก็มิใช่จะอยู่ในสภาพที่จะวิเคราะห์เพื่อหาความเป็นมาที่ถูกต้องได้ง่ายๆ  อย่างไรก็ตามนักวิชาการต่างๆ ก็ให้ความสนใจในการศึกษาเรื่องนี้มาโดยตลอด  ได้มีการขุดค้นซากดึกดำบรรพ์ของมนุษย์ในท้องที่ต่างๆ  มีการนำมาศึกษาเรียงลำดับวิวัฒนาการของมนุษย์ ซึ่งคาดว่าในอนาคตจะได้พบหลักฐานที่สมบูรณ์ขึ้นและได้เรื่องราวที่น่าเชื่อถือได้มากขึ้น




ภาพที่ 1.2 วิวัฒนาการทางกายภาพของมนุษยชาติ3. ชาติพันธุ์ของมนุษย์
   ดังที่ได้กล่าวมาแล้วในตอนต้นว่า โฮโม  ซาเพียนคือบรรพบุรุษของมนุษย์แบบปัจจุบัน    ดังนั้นมนุษย์ในปัจจุบันไม่ว่าจะพูดภาษาใด  มีรูปร่างหน้าตารวมทั้งลักษณะในทางร่างกายผิดแผกแตกต่างกันมากน้อยเพียงใดก็ตาม        ต่างก็สืบเชื้อสายมาจากตระกูลเดียวกันคือตระกูลโฮโม ซาเพียนหรือตระกูลมนุษย์ฉลาด  เมื่อมนุษย์สืบเชื้อสายมาจากตระกูลเดียวกันหรือบรรพบุรุษเดียวกันแล้ว  เพราะเหตุใดมนุษย์จึงมีลักษณะแตกต่างกันออกไปเป็นพวกใหญ่อย่างเห็นได้ชัด  มีสาเหตุประการใดบ้างที่ทำให้ลักษณะของมนุษย์เปลี่ยนแปลงไป   การเปลี่ยนแปลงนี้มีมาแต่ครั้งใดและมีความเป็นมาอย่างไร ปัญหาต่างๆ เหล่านี้ นักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันไม่สามารถคิดค้นหาคำตอบได้อย่างสมบูรณ์ หลักฐานต่างๆ ที่เกี่ยวกับมนุษย์ในเรื่องนี้มีอยู่น้อยและมีอยู่อย่างกระจัดกระจาย   เกินกว่าที่นักวิทยาศาสตร์จะสามารถรวบรวมนำมาวิเคราะห์และช่วยทำให้ปัญหาเหล่านี้กระจ่างแจ้งขึ้น  อย่างไรก็ตามสาเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิดวิวัฒนาการทางชาติพันธุ์ของมนุษย์ประการหนึ่ง น่าจะมาจากสิ่งแวดล้อมทางกายภาพที่แตกต่างกันไปในแต่ละบริเวณ เช่น ลักษณะภูมิอากาศ ลักษณะภูมิประเทศ  ความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติ เป็นต้น เหล่านี้ล้วนมีอิทธิพลต่อลักษณะทางกายภาพของมนุษย์   รวมทั้งมีอิทธิพลต่อสภาพความเป็นอยู่ของมนุษย์ด้วย  โดยทั่วไปนักวิทยาศาสตร์สรุปว่ามนุษย์กลุ่มต่างๆ ที่มีความแตกต่างในชาติพันธุ์นั้นได้เริ่มมีขึ้นเมื่อกว่า 10,000 ปีมาแล้ว
    การจำแนกชาติพันธุ์ของมนุษย์ในที่นี้ จะพิจารณาในแง่ความแตกต่างทางกายภาพ โดยเฉพาะทางร่างกายตามหลักชีววิทยาเท่านั้น และจะหมายถึงชาติพันธุ์ใหญ่ของมนุษย์ที่วิวัฒนาการขึ้นมาหลังจากการเป็นโฮโม ซาเพียนแล้ว   ลักษณะทางกายภาพที่นำมาใช้เป็นเครื่องกำหนดชาติพันธุ์ได้แก่  สีผิว  ลักษณะของนัยน์ตา  รูปทรงของร่างกาย  เป็นต้น และโดยลักษณะทางกายภาพต่างๆ ของมนุษย์ จึงได้จำแนกชาติพันธุ์ของมนุษย์ออกเป็นพวกใหญ่ๆ  3 พวก คือ
      1) พวกคอเคซอยด์ (Caucasoid) หรือพวกผิวขาว (white race)  ลักษณะทั่วไปจัดว่ามีรูปร่างตั้งแต่ปานกลาง ถึงสูงใหญ่ มีรูปหน้าเรียวยาว กะโหลกศรีษะยาว จมูกโด่ง มีผมสีน้ำตาลและสีทอง เส้นผมหยักศกบ้าง ตรงบ้าง
      2) พวกมองโกลอยด์ (Mongoloid)   หรือพวกผิวเหลือง (yellow race) ลักษณะทั่วไปมีรูปร่างสูงใหญ่ขนาดปานกลางจนถึงเตี้ย มีรูปศรีษะกว้าง รูปหน้ากว้าง โหนกแก้มสูง ผิวเหลืองจนถึงเหลืองคล้ำ เส้นผมสีดำ ลักษณะหยาบและเหยียดตรง
      3) พวกนิกรอยด์ (Negroid)  หรือพวกผิวดำ (black race) ลักษณะทั่วไปมีรูปศรีษะยาว มีกระดูกขากรรไกรยื่น รูจมูกกว้าง คางเล็ก ริมฝีปากยื่น  ผิวสีน้ำตาลคล้ำจนถึงดำ เส้นผมหยิกและหยาบ มีรูปร่างตั้งแต่เตี้ยมากจนถึงสูง

ครบรอบวันเกิด 82 ปี มิกกี้ เมาส์

ครบรอบวันเกิด 82 ปี มิกกี้ เมาส์



มิกกี้เมาส์
มิกกี้เมาส์ ใน Steamboat Willie

มิกกี้เมาส์ - มินนี่ เมาส์
มิกกี้เมาส์

มิกกี้เมาส์
มิกกี้เมาส์

 เชื่อว่าเพื่อน ๆ หลายคนคงเคยดูการ์ตูน มิกกี้ เมาส์ (Mickey Mouse) มาตั้งแต่เด็ก ๆ จนเป็นเสมือนเพื่อนทางจินตนาการแสนรัก แต่ทราบกันไหมว่าเจ้าหนูชื่อดังระดับโลกนี้ อายุอานามปาเข้าไปถึง 82 ปีแล้ว เรียกได้ว่าเป็น คุณปู่ มิกกี้ เมาส์ ของหนูน้อยหลายล้านคนทั่วโลก และเนื่องในวันเกิดของ มิกกี้ เมาส์ 18 พฤศจิกายน เราจะพาเพื่อน ๆ ไปย้อนรำลึกถึงการ์ตูนสุดคลาสสิคอย่าง "มิกกี้ เมาส์" กันค่ะ


        มิกกี้ เมาส์ เป็นตัวการ์ตูนของค่ายดิสนีย์ ถือกำเนิดขึ้นเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน ค.ศ.1928 (พ.ศ.2471) โดย วอลเตอร์ อีลิส ดิสนีย์ และอับ ไอเวิร์กส เดิมทีพวกเขาเรียกมันว่า "มอร์ติเมอร์ เมาส์" ก่อนจะเปลี่ยนชื่อตัวการ์ตูนนี้ใหม่เป็น มิกกี้ เมาส์ จากการแนะนำของภรรยาวอลต์ ดิสนีย์ เนื่องจากเธอเห็นว่ามันเป็นชื่อที่ดูจริงจังจนเกินไป

          ทั้งนี้ จุดกำเนิดของ มิกกี้ เมาส์ เกิดขึ้นขณะที่ วอล์ต อีลิส ดิสนีย์ (ขณะนั้นอายุ 27 ปี) นั่งอยู่บนรถไฟระหว่างทางมุ่งสู่ลอสแอนเจลิส เขาลงมือสเก็ตช์ภาพคาแรกเตอร์หนูเล็ก ๆ สวมกางเกงสีแดงขึ้นมา โดยมี อับ ไอเวิร์กส ออกแบบรูปร่างลักษณะ หลังจากนั้นในปี ค.ศ.1928 (พ.ศ.2471) มิกกี้ เมาส์ ก็ปรากฎตัวครั้งแรกในหนังการ์ตูนเงียบที่ชื่อว่า Plane Crazy แต่ก่อนที่การ์ตูนเรื่องนี้จะออกฉายนั้น ก็เริ่มมีการนำเสียงมาใส่ในภาพยนตร์ ทำให้ มิคกี้ เมาส์ เป็นหนังการ์ตูนที่มีการใส่เสียงเรื่องแรกในโลก ในชื่อเรื่องว่า Steamboat Willie

          การเปิดตัวครั้งแรกของ มิกกี้เมาส์ ในเรื่อง "Steamboat Willie" ในวันที่ 18 พฤศจิกายน ค.ศ.1928 (พ.ศ.2471) ทำให้ มิกกี้เมาส์ กลายเป็นขวัญใจของเด็ก ๆ จวบจนปัจจุบัน โดยทางนิวยอร์กไทม์ เคยเขียนชื่นชมว่า มิกกี้ เมาส์ เป็นผลงานที่มีความคิดสร้างสรรค์เยี่ยมยอดและสนุก เพราะการ์ตูนเรื่องนี้มีจุดเด่นที่เพลงประกอบที่ไพเราะ ภาพ และฉากที่สวยงาม

          ลักษณะเด่นของ มิกกี้ เมาส์ เป็นเพียงหนูตัวเล็ก ๆ หูกลมใหญ่สีดำ แขนขาเล็กมาก สวมกางเกงเอี๊ยมสีแดง รองเท้าสีเหลือง มีบุคลิกที่มีความอดทน อดกลั้น ฉลาดหลักแหลม มองโลกในแง่ดี และกล้าหาญ ที่สำคัญ มิกกี้ เมาส์ มีสัญชาตญาณพิเศษในเรื่องของการสืบสวนสอบสวน และด้วยบุคลิกที่โดดเด่นในแง่นี้เองทำให้ตัวการ์ตูนตัวนี้ชอบที่จะใช้เหตุผลเพื่อแก้ไขปัญหาต่าง ๆ โดยไม่ต้องใช้กำลังเข้าสู้ จนสามารถเอาชนะศัตรูที่มีร่างกายที่แข็งแรงกว่า ทำให้ มิกกี้เมาส์ สามารถเป็นที่รักและครองหัวใจของเด็ก ๆ และผู้คนทั่วโลกได้เป็นเวลาหลายทศวรรษ

          เป็นที่รู้กันดีว่า มิกกี้ เมาส์ ชอบร้องอุทาน "Gosh" หรือบางครั้งก็ "Oh boy!", "Aw-Gee" ,"Uh-Oh!" และยังชอบอ่าน Newsweek, time, Life, National Geographic, Good Housekeeping โดยมีหวานใจชื่อว่า มินนี่ เมาส์ ซึ่งเป็นตัวการ์ตูนที่ครองใจเด็ก ๆ ทั่วโลกเช่นกัน นอกจากนี้ มิกกี้เมาส์ ยังมีสุนัขสีน้ำตาลแสนรัก ชื่อว่า พลูโตที่เป็นสุนัขที่ซื่อสัตย์ ฉลาดและแสนรู้










          โดยเหล่าผองเพื่อน มิกกี้ เมาส์ ถือกำเนิดตามมาในช่วงปี ค.ศ. 1930- ค.ศ.1940 (พ.ศ.2473 – พ.ศ.2483) ได้แก่ มินนี่ เมาส์, กู๊ฟฟี่, พลูโต, โดนัลด์ ดั๊ก และอีกมากมาย โดย กุฟฟี่ ถูกสร้างขึ้นปี ค.ศ.1932 (พ.ศ. 2475) เป็นตัวการ์ตูนที่มีบุคลิกตลก และสนุกสนาน เขามักจะคอยกวนใจ มิกกี้ เมาส์ บ่อยครั้ง แต่ก็ช่วยคลายเศร้าให้กับเพื่อนได้เป็นอย่างดี และถือเป็นเพื่อนที่ดีที่สุด มักจะติดตาม มิกกี้ เมาส์ ไปทุกที่ และหาก กุฟฟี่ ได้รับประทานถั่วชนิดพิเศษเข้าไป เขาจะเปลี่ยนเป็น ซุปเปอร์กูฟ มีพลังเหมือนกับซุปเปอร์แมน สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็ว

          ส่วน มินนี่ เมาส์ ถูกสร้างโดย ฟอยด์ ก๊อตเฟรตสัน นักวาดการ์ตูนสร้าง มินนี่ เมาส์ ขึ้นมาเพื่อเป็นคู่หมั้นของ มิกกี้ เมาส์ และให้เป็นตัวแทนของความเป็นผู้หญิง มีบุคลิกที่อ่อนหวาน อ่อนไหว ชอบการต่อสู้และมีอารมณ์ที่ค่อนข้างหุนหันพลันแล่น ส่วนใหญ่แล้ว มินนี่ เมาส์ จะปรากฏตัวในห้องครัว ขณะที่ทำเค้กกับคาร์ราเบลล่า ซึ่งเป็นเพื่อนของมินนี่ เมาส์

          นอกจากนี้ ยังมี โดนัลด์ ดั๊ก ตัวการ์ตูนที่ถูกสร้างขึ้นมาให้เป็นคู่ปรับกับ มิกกี้ เมาส์ เพราะในขณะที่ดิสนีย์วางบุคลิก มิกกี้ เมาส์ ให้เป็นตัวการ์ตูนที่ดูใจดี ไม่คิดร้ายกับใคร แต่กลับวางบุคลิกของโดนัล ด์ ดั๊ก ให้เป็นเป็ดจอมโวย มีนิสัยขี้โมโหฉุนเฉียว โดย โดนัลด์ ดั๊ก ปรากฎตัวในการ์ตูนของดิสนีย์หลากหลายเรื่องทั้งทางจอเงินและจอแก้ว

          ในปี ค.ศ.1950 (พ.ศ.2493) มิกกี้ เมาส์ ก็เริ่มมีรายการทีวีเป็นของตัวเองในชื่อรายการ "The Mickey Mouse Club" ซึ่ง มิกกี้เมาส์ ก็เหมือนตัวการ์ตูนดาวค้างฟ้าตัวอื่น ๆ ที่ไม่มีวันแก่ เปรียบเสมือนเป็นมาสคอตแห่งโลกการ์ตูนของฝั่งอเมริกา เช่นเดียวกับ โดราเอม่อน ที่เป็นเสมือนมาสคอตของตัวการ์ตูนของทางฝั่งญี่ปุ่น

          มาถึงวันนี้ เป็นเวลากว่า 82 ปีแล้วที่ มิกกี้เมาส์ ครองใจเด็ก ๆ และผู้คนทั่วโลก ซึ่งแม้ว่า มิกกี้ เมาส์ จะเป็นเพียงหนูตัวเล็ก ๆ แต่เขาก็สร้างรอยยิ้ม และเสียงหัวเราะ ผ่านเรื่องราวดี ๆ ที่แฝงแง่คิดและความสนุกสนาน ทั้งยังเป็นจุดเริ่มต้นทำให้เกิดอาณาจักรอันยิ่งใหญ่แห่งโลกการ์ตูน ในนาม วอลต์ ดิสนีย์ ดังคำกล่าวของ วอลเตอร์ อีลิส ดิสนีย์ ที่ว่า...

          "I hope we never lose sight of on thing…that this was all star by a mouse" ...ดีสนีย์ยืนยงมาจนถึงทุกวันนี้ได้ ก็เพราะเราเริ่มต้นจากหนูตัวเล็ก ๆ

สุสาน Zuihoden Mausoleum

สุสาน Zuihoden Mausoleum


สุสาน Zuihoden Mausoleum

           ซุยโฮเด็ง สถานที่ฝังศพของตระกูลดาเตะ ตระกูลผู้ก่อตั้งเมืองเซ็นได ประกอบด้วย “สุสานซุยโฮเด็ง” (Zuihoden) ของดาเตะ มาซามุเนะ ไดเมียวคนแรกผู้สร้างเมืองเซ้นได “สุสานเซ็นโนเด็ง” (Zennoden) ของดาเตะ ซึนะมุเนะ ผู้ปกครองเมืองรุ่นที่สอง และ “สุสานคันเซงเด็ง” (Kansenden) ของดาเตะ ทาดะมุเนะ ผู้ปกครองเมืองเซ็นไดรุ่นที่สาม และเป็นสถานที่สำหรับประกอบพิธีบวงสรวงบรรพบุรุษของตระกูลดาเตะ สร้างด้วยศิลปะแบบโมโมยามา ซึ่งได้รับความนิยมในช่วงศตวรรษที่ ื16 ภายในอาณาบริเวณประกอบด้วยศาลเจ้าหลัก ประตูใหญ๋ (Nehanmon) และอาคารพิพิธภัณฑ์ ที่เก็บรวบรวมของใช้ และประวัติการก่อตั้งเมืองเซ็นไดเอาไว้ ซึ่งสถานที่โดดเด่นด้วยการใช้สีทองบนลวดลายแกะสลักอันประณ๊ตและละเอียดอ่อน การเดินทาง สามารถใช้บริการแท็กซี่จากสถานีเซ็นได ใช้เวลาประมาณ 15 นาที หรือนั่งรถ Loople Sendai ลงที่ป้าย Sendai Zuihoden Mea จุดจอดรถบัสที่ 4 แล้วเดินเท้าต่อปรมาณ 15 นาที (เปิดให้เข้าชมทุกวัน) ค่าเข้าชมสำหรับผู้ใหญ่ คนละ 550 เยน นักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย คนละ 400 เยน นักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นและประถมศึกษา คนละ 200 เยน สามารถเข้าไปศึกษาความเป็นมาของเมืองเซ็นไดจากที่นี่ค่ะ

ถนนโจเซนจิ

สงบอย่างมีสไตล์ ถนนโจเซนจิใจกลางเมืองเซนได ประเทศญี่ปุ่น (Sendai, Japan)

     ถนน Jozenji ใจกลางเมืองเซนได ร่มครึ้มด้วยเงาต้นเคยะกิซึ่งเป็นสัญญลักษณ์ของเมืองเซนไดนี้มักเป็นภาพปกหนังสือหรือโปสเตอร์ให้ได้เห็นบ่อยๆ


สงบอย่างมีสไตล์เป็นภาพลักษณ์ของถนนโจเซนจิซึ่งมีเกาะกลางถนนใหญ่พอที่จะเรียกได้ว่าเป็นสวนหย่อม ถนนสายนี้มักมีอะไรๆให้เราต้องหยุดมองเมื่อเดินผ่าน เช่นในวันธรรมดาๆวันหนึ่งของเดือนมิย. จขกท.เดินผ่านไปโดยบังเอิญก็พบว่ามีการแสดงศิลปะของศิลปินสมัครเล่นกลุ่มต่างๆ



ในวันที่ฤกษ์ดีตามปฏิทินญี่ปุ่น มักจะได้เห็นคู่บ่าวสาวในชุดแต่งงานมายืนถ่ายภาพที่ระลึกบนถนนสายโรแมนติคนี้ หรือแม้วันธรรมดาๆ มาเดินเล่นบนเกาะกลางถนน ชมรูปปั้นปฏิมากรรมของศิลปินก็เพลินดีไม่น้อยค่ะ


ยิ่งถ้าเป็นช่วงที่มีเทศกาลต่างๆ ถนนนี้จะเป็นจุดศูนย์กลางของการชมเทศกาลนั้นๆเลยทีเดียว เช่น เทศกาลอะโอบะ(Aoba Matsuri) ในวันเสาร์และอาทิตย์ที่ 3ของเดือนพฤษภาคมทุกปี


เทศกาลดนตรีแจ๊ส (Jozenji Street Jazz Festival) ในวันเสาร์และอาทิตย์ที่ 2 ของเดือนกันยายนทุกปี 

เทศกาล Sendai Pageant of Starlight ประมาณวันที่ 6-31 ธันวาคมของทุกปี

ไม่ว่ามาเที่ยวเซนไดช่วงไหน ลองแวะมาเดินถนนสายนี้ดูหน่อยไหมคะ อยู่ใกล้สถานีรถไฟใต้ดิน Kotodai-koen station  ติดกับย่านช้อปปิ้ง Ichiban-cho