ปีก - น่าจะเป็นอวัยวะสำคัญที่สุด ปีกมังกรละม้ายไปทางปีกค้างคาว สามารถพยุงน้ำหนักลำตัว ได้มากกว่าปีกนกธรรมดาๆ
กระเพาะอาหาร - หลาย คนอาจนึกฉงนว่า ไอ้อวัยวะส่วนนี้ มันสำคัญตรงไหนนักหนาก็ไอ้นี่แหละที่ทำให้มังกร มันลอยตัวในอากาศได้ กล่าวคือ ในกระเพาะนั้น ย่อมมีแบคทีเรียที่ช่วยในการย่อยอาหาร ที่มันเขมือบเข้าไป และในกระบวนการย่อยนี้ ก็จะเกิดมีก๊าซไฮโดรเจนขึ้น ก๊าซนี้มีน้ำหนักเบากว่าอากาศถึง 14 เท่า จึงพยุงร่างให้ลอยขึ้นได้ นอกจากนี้ ไฮโดรเจนยังเป็นก๊าซไวไฟ เจ้ามังกรจึงใช้พ่นออกมาเผาผลาญอริของมันได้ โดยมันจะเก็บก๊าซนี้ไว้ในถุงลม ถึงยามจำเป็นจึงนำออกมาใช้
กระดูก - สัตว์ที่บินได้ทั้งหลาย ไม่ว่าค้างคาวหรือนก ล้วนมีโครงสร้างกระดูกเป็นโพรงกลวง ทำให้มีน้ำหนักเบา ช่วยให้ลอยตัวในอากาศได้ ดีขึ้น มังกรเองก็มีกระดูกลักษณะนี้เช่นกัน
ตัวจุดประกายไฟ - แม้จะผลิต ก๊าซไฮโดรเจนได้แล้ว แต่ก๊าซย่อมไม่ติดไฟขึ้นได้เอง ต้องอาศัยการเกิดประกายไฟ หรือสปาร์ก (Spark) ในเรื่องนี้นักวิทยาศาสตร์ชี้ว่า เจ้ามังกรได้หม่ำเอาหินชนวนเข้าไป พอหินย่อยแล้วก็จะกลายเป็น ผงทองคำขาว หรือแพลทินัม ซึ่งผงดังกล่าวนี้สามารถ ทำปฏิกิริยากับก๊าซไฮโดรเจน แล้วลุกเป็นไฟให้เจ้ามังกรพ่นออกมาได้
นอกจากกายวิภาคแล้ว เค้าก็ยังสันนิษฐานถึงพฤติกรรมดำรงชีวิตของมังกรไว้ด้วย อาทิ
การผสมพันธุ์ - จะเป็นแบบเดียวกับ ลูกหลานของมันประเภทหนึ่งคือ นกอินทรีหัวล้าน (bald eagle) ซึ่งเป็นวิธีการพิสดารไม่เหมือนใคร โดยนกอินทรีตัวผู้ตัวเมียจะใช้กรงเล็บ เกาะกุมกันไว้กลางอากาศแล้วผสมพันธุ์ ช่วงนั้นมันทั้งคู่จะปราศจาก การควบคุมสมดุล และควงสว่านลงมาจากนภากาศ มันจะเสพสมสำเร็จ ในวินาทีก่อนที่จะตกกระทบพื้นดิน แล้วพลันโผผินบินขึ้นสู่ท้องฟ้าผละจากกัน มังกรตัวผู้ตัวเมีย ก็ผสมพันธุ์เฉกเช่นเดียวกับนกอินทรี หากแต่ตอนผละจากกันนั้น มันจะพ่นอัคคีออกมาพวยพุ่งเป็นสองลำในอากาศ
การหลอกศัตรู - เจ้ามังกรตัวน้อยๆนั้น อาจตกเป็นเหยื่อแก่ไดโนเสาร์โหดอย่างที-เร็กซ์ (T-REX) ได้โดยง่าย ใต้ปีกของมันจึงมีรูปดวงตาเบ้อเร่อสีสดใส ยามมีภัยมาใกล้ตัวมังกรน้อยจะกางปีกแผ่ออก ดวงตา คู่ยักษ์จะทำให้ศัตรูประหวั่นพรั่นใจ และแตกตื่นกระเจิงไป
ก็คงรู้ถึงเอกลักษณ์ของความเป็นมังกร พอควรแล้ว ทีนี้มาดูกันว่าสัตว์ ดึกดำบรรพ์อันน่าจะเป็นที่มาที่ไป ของมังกรนั้น ...คืออะไร
ย้อนกลับไปในยุค ไตรแอสสิก (TRIASSIC) หรือราว 200 ล้านปีก่อน ซึ่งสัตว์จำพวกครึ่งบกครึ่งน้ำ ได้ถือกำเนิดบนโลกนี้แล้ว เจ้าพวกนี้บิน หรือพ่นไฟไม่ได้หรอกครับ ได้แต่วิ่งสี่ขาเพ่นพ่าน ต่อมาบางตัวได้เริ่มต้นวิ่งด้วยสองขาหลัง ดังนั้น สองขาหน้าของมันจึงไร้ประโยชน์แล้วเลยกลายเป็นปีก สามารถเหาะเหินขึ้นสู่ฟ้าได้ นี่ก็น่าจะเป็นบรรพบุรุษตัวหนึ่งของมังกรได้
ล่วงมาถึง 65 ล้านปีในอดีต สัตว์เลื้อยคลานสี่ขาบางตัวมีอวัยวะคู่ที่ 3 งอกขึ้นมาเป็นปีก เจ้าตัวนี้มีทีท่าน่าจะคล้ายมังกรที่เรารูจักมากที่สุด เพราะมันบินได้ และมีกระเพาะ ที่ย่อยสลายแล้วได้ก๊าซไฮโดรเจนอันเป็นต้นตอของไฟที่มันพ่นออกมา หากทว่าบางตัวเอาแต่จับปลาหาเต่ากินในน้ำ มันจึงแปรสภาพไปเป็นสัตว์น้ำโดยสมบูรณ์ ปีกกลายเป็นครีบ เจ้ามังกรที่ว่านี้ ก็อย่างเช่น สัตว์ประหลาดยักษ์ที่ร่ำลือกันในทะเลสาบล็อคเนสส์ (LOCH NESS) หรือเจ้าเนสสี นั่นเอง
สำหรับ มังกรบางตัวที่ขึ้นมาหากิน บนบกนั้นก็มี อาทิ มังกรในป่าไม้ ลำตัวของมันคงยาวเหมือนตอนอยู่ในน้ำ เพื่อว่าเวลาวิ่งผ่านต้นไม้ จะได้สะดวก ส่วนปีกนั้นสั้นลงจะได้ไม่เกะกะ มันก็เลยบินจริงๆไม่ได้ อาจแค่กระโดดพะเยิบพะยาบ ไปตามพื้นดิน “มังกรป่า” เหล่านี้ ปัจจุบันพอพบได้ ตามหมู่เกาะบางแห่งของญี่ปุ่น ในป่าละเมาะและดงดิบ ของจีนกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
นอกจากนี้ ก็ยังมี “มังกรภูเขา” ซึ่งส่วนใหญ่ อยู่ในยุโรป รูปร่างของมันจะม่อต้อไม่เรียวเหมือนมังกรทะเล ทำให้มันบินได้คล่องตัวกว่า หางของมันยาวพอๆกับลำตัว ที่ปลายหางเป็นรูปหัวลูกศรซึ่งคมกริบ เป็นอาวุธสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่มังกรใช้ตวัดใส่ศัตรู
และต่อไปนี้คือเรื่องราวของมังกรหลายตัวซึ่งปรากฏสู่สายตาเราในช่วงเวลาที่ผ่านมา
-ลาดอน มังกรกรีกโบราณซึ่งคอยเฝ้าต้นแอปเปิ้ลทองคำของเทพีเฮร่า เฮอร์คิวลิสฆ่าลาดอนเพื่อขโมยแอปเปิ้ลเหล่านั้น
-มังกรเทพเจ้าของชาวจีน ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของชนชาติจีน ชาวจีนทั่วโลกประกาศด้วยความภาคภูมิใจว่า "หลุง ติ๊ก ฉวน เหยิน" หรือสายเลือดมังกร มังกรมักได้รับการกล่าวถึงในฐานะสัตว์เทพเจ้าในตำนาน ซึ่งทำให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ ความมั่งคั่ง และโชคดี
-โยงูเนะ-นูชิ มังกรญี่ปุ่นที่ชั่วร้าย ซึ่งปรารถนาเนื้อมนุษย์ และสั่งให้เอาหญิงสาวมาบูชายัญปีละครั้ง
-ราหู และเกตุ มาจากตำนานของชาวอินเดีย และมีความสำคัญในโหราศาสตร์ตามหนังสือพระเวทย์ ราหูเป็น "หัวมังกร" เกี่ยวข้องกับวงโคจรด้านเหนือของดวงจันทร์ เกตุเป็น "หางมังกร" เกี่ยวข้องกับวงโคจรด้านใต้ของดวงจันทร์
-ฟัฟเนอร์ มังกร ในเทพนิยายของชาวนอร์ส (สแกนดิเนเวีย) เดิมทีเกิดมาเป็นยักษ์ ในวัยเด็กได้ฆ่าพ่อของตนเพื่อยึดสมบัติ หลังจากนั้นด้วยอำนาจวิเศษ ฟัฟเนอร์ก็แปลงร่างเป็นมังกรเพื่อจะรักษาสมบัติใหม่ๆ ที่ได้มาอย่างชั่วร้ายได้ดียิ่งขึ้น
-เอช.อาร์.พัฟเฟินทัฟ ภาพยนตร์ซีรี่ส์ในทศวรรษที่ 1970 นำเสนอมังกรพูดได้ซึ่งเป็นนายกเทศมนตรีของเกาะลิฟวิ่งไอส์แลนด์ เกาะซึ่งเด็กวัยรุ่นชื่อจิมมี่ และขลุ่ยพูดได้ของเขาชื่อเฟรดดี้ไปติดอยู่เพราะวิชีเอพูผู้ชั่วร้าย
-มังกรของพีท เรื่องราวไลฟ์แอ๊คชั่นผสมกับตัวการ์ตูนซึ่งยังเป็นที่ติดอกติดใจของเด็กๆ ในปัจจุบัน
-พัฟฟ์เดอะเมจิคดราก้อน เพลงอันดับหนึ่งในชาร์ตในปี 1960 ผลงานของปีเตอร์ พอล แอนด์ แมรี่ ที่แต่งขึ้นจากบทกวีเกี่ยวกับความไร้เดียงสาของวัยเด็กที่สูญหายไป
-ดราก้อนฮาร์ท ภาพยนตร์ที่ออกฉายในปี 1996 สร้างโดยยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ เล่าเรื่องราวในยุคกลางของมังกรตัวสุดท้ายในโลก
-มูชู มังกรตัวการ์ตูนจากภาพยนตร์เรื่อง "มู่หลาน" ของดิสนีย์ รับบทเป็นองครักษ์ที่ทรงพลังคอยช่วยมู่หลานต่อสู้กับผู้บุกรุกแผ่นดินชาว ฮั่น และนำเกียรติยศมาสู่วงศ์ตระกูลของเธอ
-นอร์เบิร์ต ลูงมังกรของแฮกริดในเรื่องแฮร์รี่ พอตเตอร์ ตอนศิลาอาถรรพ์ ที่น้องๆ ได้พบตั้งแต่เจ้านอร์เบิร์ตฟักตัวออกจากไข่และพ่นไฟใส่เคราของแฮกริด ก่อนจะได้พบกับเจ้ามังกรพันธุ์ฮังกาเรียนหางหนามในศึกประลองเวท
-ชาริซาร์ด มังกรบินพ่นไฟจากวิดีโอเกมและเกมไพ่สะสมโปเกมอน ชื่อภาษาญี่ปุ่นของชาริซาร์ดคือ "ริซาอาดอน" (ลิซาร์ดอน)
-มังกรขาวตาสีฟ้า หนึ่งในไพ่ยูกิโอรุ่นแรกๆ ปรากฏตัวในภาคแรกของซีรี่ส์โทรทัศน์ชุด The Heart of the Cards
ไม่ว่าจะยุคสมัยนี้นหรือว่าในยุคสมัยนี้ก็ยังไม่มีใครสามารถพิสูจน์ได้เลยว่าแท้จริงแล้ว มังกร มีจริงในโลกใบนี้หรือเปล่าหรือว่ามันเป็นเพียงแค่ตำนาน ที่เขาได้เล่ากันต่อ ๆ กันมาเป็นยุคสมัย แล้วคุณว่ายังไงล่ะคิดว่ามังกรมีจริงในโลกใบนี้หรือไม่?
ตำนานมังกร จีน
"มังกร" นั้นถือเป็นสัญลักษณ์ของประเทศจีน แม้ว่ามังกรจะมีการกล่าวถึง ว่าเป็นสัตว์เทพในนิยายและตำนานของหลากหลายชาติ ทั้งทางเอเซียและยุโรป แต่มังกรจีนก็นับว่ามีตำนานที่ยาวนานและมีรูปลักษณ์ที่แตกต่างออกไปจากมังกรของทางตะวันตกอย่างเห็นได้ชัดเจน
ตามคำบอกเล่าแต่โบราณแล้ว "มังกร" ในความเชื่อของชาวจีน มักได้รับการกล่าวขานในแง่ของความเป็นมิตรมากกว่าความร้ายกาจ และถูกยกให้เป็น สัญลักษณ์ที่นำมาซึ่งความสุขและความอุดมสมบูรณ์ของบ้านเมือง มังกรในความเชื่อของจีนสามารถพบได้ในแม่น้ำและทะเลสาบ ชอบที่จะอยู่ท่ามกลางสายฝน ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้สร้างกฎแห่งความใจบุญ และเป็นสิ่งที่เสริมสร้างความมั่นใจ ความเชื่อมั่นให้แก่กษัตริย์ อย่างในสมัยราชวงศ์ชิงกษัตริย์หรือฮ่องเต้จะต้องประทับบนบัลลังก์มังกร เดินทางโดยเรือมังกร เสวยอาหารบนโต๊ะมังกร และบรรทมบนเตียงมังกร ของใช้ต่างๆรวมถึงเสื้อผ้าก็จะตัดเย็บด้วยผ้าที่ประดับด้วยลวดลายมังกร โดยที่คนธรรมดาสามัญไม่สามารถตัดเย็บหรือใช้ของที่มีลายมังกรได้โดยเด็ดขาด และมังกรของจักรพรรดินั้นจะพิเศษกว่ามังกรโดยทั่วไป นั่นคือมันจะต้องมี 5 เล็บ
ลักษณะเฉพาะของมังกรจีน ตามพจนานุกรมจีน "มังกร" มีความหมายว่า
สัตว์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด มีลักษณะหัวคล้ายหัวอูฐ มีเขาคล้ายเขากวาง ดวงตาคล้ายกับดวงตาของกระต่ายป่า หูคล้ายหูวัว ปีกคล้ายนกอินทรี มีลำคอยาวคล้ายงู ช่วงท้องมี ลักษณะคล้ายกบหรือหอยกาบ และเกล็ดเหมือนของปลาคาร์พ รูปร่างคล้ายกับปลาตัวใหญ่ เท้าคล้ายกับเท้าเสือ เสียงร้องคล้ายเสียงตีฆ้อง เมื่อหายใจลมหายใจของมันมีลักณะคล้ายเมฆ ซึ่งบางครั้งก็ออกมาเป็นฝน บางครั้งก็เป็นเปลวไฟ
มังกรจีนจะมีเขี้ยวขนาดใหญ่หนึ่งคู่อยู่ที่ขากรรไกรบน มีหนวดยาวลักษณะเหมือนไม้เลื้อย และมีแผงคอเหมือนของสิงโตอยู่บนคอ ,คาง และข้อศอก มีเกล็ด 117 แผ่น แบ่งออกเป็นหยินและหยาง โดย 81 แผ่นเป็นหยางมีความดี 36 แผ่นเป็นหยินมีความชั่ว เขามีสันหลังทอดยาวไปตามหลังและหางเป็นหนามยาวและสั้นสลับกัน มีโหนกอยู่บนหัวไว้สำหรับบินเรียกว่า เชด เม่อ (chih muh) แต่ถ้าเขาไม่มีโหนกนี้ มังกรก็จะกำคทาเล็กๆที่เรียกว่า โพ เชน (po-shan) ในการบินแทน
สีของมังกรจีนมีหลายสี ตั้งแต่แกมเขียวจนถึงทองหรือบางแหล่งก็ว่ามังกรจีนมีสีน้ำเงิน ,ดำ ,ขาว ,แดง ,เขียว หรือเหลือง มังกรจีนในตำนานมีอิทฤทธิ สามารถทำตัวเองให้ใหญ่เท่ากับจักรวาล หรือให้เล็กเท่ากับหนอนไหม นอกจากนี้ยังมีนิสัยเมตตากรุณา ,เป็นมิตร ,ทะเยอทะยาน และมองโลกในแง่ดี นอกจากนี้ มังกรจีนยังฉลาด ,มีปัญญามาก ,มีความเด็ดขาดและมีพลัง จึงถูกยกย่องให้เป็นที่ปรึกษาของผู้นำ
ชนิดของมังกรจีน
คนจีนก็แทนลักษณะเฉพาะของมังกร 9 อย่าง ตามลักษณะของมังกรที่แตกต่างกันดังนี้
พิว โหล (pu lao) ถูกสลักบนยอดของระฆังและฆ้องเพราะว่าเขามีนิสัยชอบส่งเสียงร้องดังเมื่อถูกโจมตี
ไชยู (chiu) อยู่บนที่หมุนของซอตั้งแต่มังกรส่วนมากชอบดนตรี
ไพ ไซ (pi his) ถูกสลักที่ส่วนบนของโต๊ะหินเนื่องจากความรักของมังกรที่มีต่อวรรณคดี
พา ไซ อะ (pa hsai) พบได้ที่ฐานของอนุสาวรีย์หินในฐานะที่มังกรสามารถรับน้ำหนักมากได้
เชโอะ เฟ่ง (chao feng) วางอยู่ที่ชายคาของวัดในฐานะที่มังกรตื่นตัวต่ออันตรายเสมอ
เช่ย (chih) ปรากฏบนคานของสะพานตั้งแต่มังกรชอบน้ำ
ซ่วง หนี่ (Suan ni) ถูกสลักบนบัลลังก์ของพระพุทธรูปในถานะที่มังกรชอบพักผ่อน
เย่ สึ (Yai tzu) ถูกสลักบนด้ามดาบ ตั้งแต่มังกรถูกรู้ว่ามีความสามารถที่จะฆ่าได้
ไพ ฮั่น (pi han) ถูกสลักบนประตูคุก เพราะมีมังกรที่ชอบการทะเลาะ และการสร้างปัญหา
กำเนิดมังกรจีน
ชาวจีนมีตำนานกล่าวว่า มังกรเกิดขึ้นในสมัยของพระเจ้าอึ่งตี่หรือหวงตี้ โดยทรงมีพระราชประสงค์ในการสร้างมังกร เพื่อให้เป็นเครื่องหมายประจำชาติ ด้วยการนำเอาสัญลักษณ์ของกลุ่มชนเผ่าต่างๆที่อาศัยอยู่ภายในประเทศจีนขณะนั้นมาผสมผสานกัน
ความเชื่ออื่นๆเกี่ยวกับมังกร
มีตำนานกล่าวว่ามังกรเป็นสัตว์อมตะและยังมีอิทธิฤทธิ์มาก เนื่องจากมังกรมีลูกแก้ววิเศษอยู่ในปาก ทำให้สามารถเหาะเหิรเดินอากาศได้หรือจะเดินดิน-ดำน้ำก็ได้ สามารถล่องหนหายตัวแปลงกายให้เล็ก ใหญ่ สั้นยาวก็ได้ ชาวจีนจึงยกย่องให้มังกรเป็นเทพเจ้าองค์หนึ่ง ทั้งยังเป็นพาหนะของเจ้าแม่กวนอิมอีกด้วย ธรรมชาติของมังกรเป็นสัตว์ดุร้ายแต่ก็สามารถจะบันดาลประโยชน์สุข ให้บังเกิดแก่มวลมนุษย์ได้เช่นกัน เพราะมังกรสามารถทำให้เกิดฤดูกาลต่างๆบันดาลให้เกิดฝน-ลม-ไฟ ช่วยกำจัดสิ่งชั่วร้าย ดังตำนานของชาวจีนที่เล่าต่อกันมาว่า เมืองจีนในช่วงฤดูหนาวบังเกิดความแห้งแล้ง มีสาเหตุมาจากเป็นช่วงเวลาที่มังกรหลับ แต่พอมังกรตื่นขึ้นมาจะนำพาเอาน้ำมาด้วยอย่างมากมายจนเกิดอุทกภัย สร้างความเดือดร้อนไปทั่วทั้งแผ่นดิน จากความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นกับประชาชนหมู่มากนี้เอง ทำให้เจ้าแม่กวนอิมโพธิสัตว์ต้องลงโทษให้มังกรต้อง เข้าไปจำศีลภาวนาชดใช้กรรมอยู่ภายในถ้ำถึง 3,000 ปี จนมังกรบังเกิดบารมีจนกลายเป็นสัตว์ชั้นเทพ สามารถเหาะขึ้นไปยังสรวงสวรรค์ได้ ทั้งยังต้องทำหน้าที่เฝ้าดูแลลูกแก้ววิเศษของเจ้าแม่กวนอิมโพธิสัตว์อีกด้วย เราจึงมักเห็นรูปวาดของมังกรจีนมีลูกแก้วอยู่ในมือยังไงล่ะคะ
การเชิดมังกร
ตำนานการเชิดมังกรมีที่มาดังนี้ ตำนานเล่าว่ามีอยู่วันหนึ่ง มังกรเกิดมีอาการปวดและคันที่เอวตลอดเวลารักษาด้วยวิธีการใดก็ไม่หาย จึงจำเป็นต้องแปลงกายเป็นมนุษย์เพื่อหาหมอที่เก่งกาจวิชาการแพทย์มาช่วยรักษา มังกรเข้ารับการรักษากับแพทย์หลายคนก็ไม่หาย จนได้ไปพบกับหมอท่านหนึ่งที่สามารถล่วงรู้ได้ว่า แท้จริงผู้ที่มาขอรับการรักษานั้นมิใช่มนุษย์ธรรมดา จึงสั่งให้มังกรคืนร่างเดิมเป็นมังกรเพื่อหมอจะได้ตรวจอาการป่วยที่แท้จริง ซึ่งหลังจากการตรวจ หมอได้พบตะขาบตัวหนึ่งซ่อนอยู่ที่ใต้เกล็ดมังกร จึงจับตะขาบออกมาแล้วใส่ยาตรงที่ถูกตะขาบกัดให้ทำให้มังกรหายป่วย มังกรจึงอนุญาตให้มนุษย์สามารถทำหุ่นมังกรออกแห่ได้ปีละครั้ง ในยามใดที่หุ่นมังกรปรากฏฝนก็จะตกลงมา ทั้งขจัดสิ่งที่ชั่วร้ายให้หมดสิ้นไปส่งผลให้เกิดประเพณีแห่มังกรนับแต่นั้นเป็นต้นมา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น