ประวัติ ซามูไร
ซะมุไร (
ญี่ปุ่น:
侍,
ภาษาไทยนิยมทับศัพท์ว่า "ซามูไร"
?) แปลเป็นภาษาไทยว่า
ทหาร คำว่า ซะมุไร มีต้นกำเนิดจากคำว่า ซะบุระอุ ซึ่งเป็นคำกริยาใน
ภาษาญี่ปุ่นโบราณ ที่มีความหมายว่า รับใช้ ฉะนั้น ซะมุไรก็คือคนรับใช้นั่นเอง
ในครั้งนี้ที่เราจะมาพูดถึงกันก็คืออาถรรพ์ของดาบซามูไรชั้นยอดที่มีอยู่จริงและสืบทอดมาจนถึงปัจจุบันอย่างดาบอาถรรพ์ของทั้ง 3 ตระกูลคือ ตระกูลมาซามุเนะ (正宗) ตระกูลมุรามาสะ (村正) และตระกูลโยชิมัทสึ (吉松)
ซึ่งดาบของทั้งสามตระกูลนี้ก็ยังคงมีหลงเหลืออยู่ในปัจจุบันอีกด้วย ว่ากันว่าเรื่องอาถรรพ์ของดาบพวกนี้นั้นคือมนตราหรือพลังอำนาจลึกลับที่มีทั้งดีและไม่ดีปนกันไป ที่ผู้สร้างนั้นใช้ทั้งแรงกายและแรงใจใส่ลง
ไปเมื่อครั้งตีดาบ จึงมีความแกร่ง ทน และคม ยากที่จะหาดาบใดมาเทียบได้…..
ดาบสั้นของตระกูลมาซามุเนะ อยู่ที่ Tokyo National Museumตระกูลมาซามุเนะนั้นเป็นช่างตีดาบมาตั้งแต่สมัยคามาคุระ (鎌倉時代) ที่ปกครองโดยรัฐบาลทหารของตระกูลโฮโจ ต่อมาคนในตระกูลมาซามุเนะที่เป็นลูกศิษย์ของเจ้าสำนักก็แยกตัวออกไปเปิดสำนักตีดาบอีกสำนักหนึ่งชื่อว่ามุรามาสะ เจ้าสำนักมุรามาสะ (ลูกศิษย์ของเจ้าสำนักมาซามุเนะ) อยากให้อาจารย์ของตนเองได้ประจักษ์ในฝีมือการตีดาบของตน จึงได้เกิดการท้าประลองตีดาบที่ดีที่สุดระหว่างสองสำนักขึ้น
มาซามุเนะได้ตีดาบที่มีชื่อว่า 柔らかい手 หรือ tender hands ใช้เหล็กผสมคาร์บอน 3 ชิ้น ซึ่งแต่ละชิ้นนั้นมีปริมาณคาร์บอนต่างกัน ทำให้ได้ดาบที่คมแข็งมาก ตัดไม้แม้กระทั่งเหล็ก
มุรามาสะตีดาบที่มีชื่อว่า 十千夜寒 หรือ 10,000 Cold Nights ซึ่งตีด้วยความเคียดแค้นและความริษยา ทำให้ดาบเกิดความคมแบบเหนือธรรมชาติ
เมื่อตีดาบกันเสร็จแล้วทั้งคู่จึงมาเจอกันที่ลำธารและปักดาบลงไปในน้ำโดยหันด้านคมสวนกระแสน้ำ เมื่อมีใบไม้ถูกน้ำพัดผ่านมาและได้สัมผัสผ่านดาบมุรามาสะก็จะขาดเป็นสองท่อนเสมอ ทำให้มุรามาสะภูมิใจในดาบของเขามาก ซึ่งต่างจากดาบมาซามุเนะที่เมื่อใบไม้ลอยผ่านคมดาบก็จะไม่เกิดอันตรายใดๆเลย เนื่องมาจากดาบของมุรามาสะนั้นมีไอสังหารออกมาและคร่าทุกสิ่งที่ขวางหน้าแม้แต่สิ่งที่ไม่มีชีวิต แบบระรานไปเรื่อย
ว่ากันว่าดาบมาซามุเนะนั้นจะทำให้ผู้ที่ถือรู้สึกสงบและมีสมาธิ แต่ดาบมุรามาสะจะทำให้ผู้ถือเกิดความคึกคะนองและบ้าคลั่ง ผู้ครอบครองจะถูกกินวิญญาณทีละนิดๆเพื่อนำมาเป็นพลังของดาบ บ้างก็ประสบภัยพิบัติเช่นชินเก็น ทาเคดะ (Shingen Takeda : 武田信玄) เจ้าของกระบวนรบลมป่าไฟภูเขา (FuRinKaSan : 風林火山) แม้ว่าจะชนะในการรบอยู่เรื่อยมาก็เกิดการเจ็บป่วยจนตาย และตระกูลก็พังพินาศในสมัยของลูกชายตนเอง
นับจากนั้นเป็นต้นมาดาบของตระกูลมุรามาสะและตระกูลมาซามุเนะก็เป็นที่เลื่องลือกันไปทั่วทั้งแผ่นดิน โดยผู้ที่จะได้ครอบครองดาบจากสองตระกูลนี้จะต้องเป็นถึงชนชั้นสูงอย่างจักรพรรดิ เชื้อพระวงศ์ และโชกุน หรือต่ำสุดก็ต้องเป็นไดเมียวตระกูลใหญ่ๆเท่านั้น ส่วนพวกผู้ครองเมืองหรือซามูไรธรรมดาจะไม่มีสิทธิ์ได้ถือครองเลย แต่ว่า…ดาบของสองตระกูลนี้กลับมีพลังอาถรรพ์ที่น่ากลัวมากมาย ซึ่งเรื่องเล่าสืบต่อกันมาว่าผู้ใดที่ได้จับหรือครอบครองดาบของตระกูลมาซามุเนะและมุรามาสะนั้น จะรู้สึกถึงใบดาบในฝักที่มีอาการสั่นเร่าๆพร้อมกับเสียงร้องหวีดแหลมเล็กเบาๆในหูราวกับว่ามันมีชีวิตจริง อาจจะเป็นไปได้ว่าเจ้าดาบอาถรรพ์นี้กำลังร้องเรียกให้ผู้เป็นนายดึงมันออกมาจากฝักดาบที่เป็นพันธนาการ ให้พุ่งออกมาวาดลวดลายล้างผลาญชีวิตศัตรูหรือแม้กระทั่งเจ้านายของมันเอง เพราะใครก็ตามที่ได้ครอบครองมันก็จะต้องมีเหตุให้หลั่งเลือดหมู่ศัตรูหรือแม้แต่เลือดของตนเองแทบทุกคน
ดาบของตระกูลมุรามาสะ อยู่ที่ Tokyo National Museumส่วนคนดังในประวัติศาสตร์ที่ว่ากันว่าถือดาบอาถรรพ์ก็คือ อิเอยาสุ โทกุกาวะ (Ieyasu Tokugawa : 徳川家康) อาวุธคู่กายของอิเอยาสุก็คือหอกยาริ ซึ่งเป็นผลงานของตระกูลมุรามาสะ (ตระกูลมุรามาสะนั้นเป็นช่างตีดาบประจำตระกูลโทกุกาวะ) เมื่อใดที่อิเอยาสุนำหอกนี้ออกมาฝึกวิชาการต่อสู้ ถ้าคนรอบข้างไม่ได้รับบาดเจ็บเสียเลือด ก็จะถูกหอกตัวเองทิ่มแทงให้เกิดแผลอยู่เสมอๆ นอกจากนี้แล้วอิเอยาสุได้สูญเสียสหายร่วมรบไปมากเนื่องจากดาบมุรามาสะนั่นเอง ลูกหลานของตระกูลโทกุกาวะจึงจำขึ้นใจว่าถ้าไม่จำเป็นจะไม่พกดาบของตระกูลมุรามาสะเด็ดขาด และอิเอยาสุผู้เป็นโชกุนคนแรกของสมัยเอโดะจึงได้ออกคำสั่งห้ามซามูไรทุกคนพกดาบของตระกูลมุรามาสะที่มีชื่อเสียงในฐานะของอาวุธปีศาจ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความบ้าคลั่งและกระหายเลือด จนมีเรื่องเล่าต่อๆกันมาว่า ถ้าดาบของมุรามาสะไม่ได้ดื่มเลือดจะไม่ยอมคืนฝักเด็ดขาด
อีกหนึ่งดาบที่เรายังไม่ได้พูดถึงเลยก็คือ ดาบของตระกูลโยชิมัทสึ (吉松) ว่ากันว่าดาบของตระกูลโยชิมัทสึนั้นเป็นดาบผู้พิทักษ์ ซึ่งมีเรื่อเล่าว่าหลังจากที่อิเอยาสุพ่ายแพ้ต่อคัทสุโยริ ทาเคดะ (Katsuyori Takeda : 武田勝頼) ในศึกที่ริมแม่น้ำเทนริน ก็ได้หลบหนีไปยังหมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่ง ด้วยความอับอายอิเอยาสุจึงเตรียมพร้อมที่จะฮาราคีรีตัวเองด้วยดาบวากิซาชิและดาบทาชิของตนเองที่ถูกตีขึ้นโดยตระกูลโยชิมัทสึ
ในขณะที่กำลังจ้วงดาบเข้าไปที่ท้องของตนเองนั้นใบดาบกลับพลิกหลบ อิเอยาสุคิดว่าแกนดาบเล่มนี้คงจะหลวมแน่ๆจึงบิดใบดาบเข้าที่แล้วนำครกเหล็กบดยามาลองดาบ ปรากฎว่าดาบกลับแทงทะลุครกได้โดยง่าย อิเอยาสุจึงว่าดาบมันก็ปกตินี่นาแล้วก็จะดึงออกมาจากครกแต่ไม่ว่าจะดึงอย่างไรดาบก็ยังติดแน่นฝังอยู่ในครกนั้น หลังจากนั้นไม่นานก็มีกลุ่มของลูกน้องเข้ามาพบอิเอยาสุกำลังปล้ำอยู่กับดาบที่ติดครกเหล็ก จึงรีบเข้าไปห้ามทันทีเพราะคิดว่าอิเอยาสุกำลังจะฆ่าตัวตาย แล้วเหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเมื่อลูกน้องที่สนิทคนหนึ่งกลับดึงดาบออกมาได้โดยง่าย เมื่อดาบถูกดึงออกมาแล้วอิเอยาสุจึงถูกกลุ่มลูกน้องตนเองส่งขึ้นม้ากลับไปยังดินแดนของตนเองทันที เนื่องจากว่าข้าศึกกำลังตามมาทันแล้ว ระหว่างควบม้าไปในใจก็คิดถึงเรื่องดาบว่าทำไมจึงเป็นเช่นนี้
หลังจากศึกที่แม่น้ำเทนริน อิเอยาสุก็พกดาบคู่ของตระกูลโยชิมัทสึไว้ตลอด ไม่ว่าจะออกศึกครั้งใดก็สามารถปราบศัตรูได้หมด จนสามารถไต่เต้าขึ้นมาเป็นโชกุนของประเทศญี่ปุ่นได้ในที่สุด นับแต่นั้นเป็นต้นมาเหล่าทหารและสมาชิกของตระกูลโทกุกาวะทุกคนล้วนแต่พกดาบของตระกูลโยชิมัทสึด้วยกันทั้งนั้น
อาจเพราะความดีที่อิเอยาสุได้เคยทำไว้ หรือเพราะแรงอาถรรพ์แห่งการพิทักษ์รักษาของดาบตระกูลโยชิมัทสึก็ไม่อาจทราบได้ แต่มันสามารถทำให้ตระกูลโทกุกาวะปกครองแผ่นดินญี่ปุ่นได้อย่างยาวนานถึง 250 ปีเลยทีเดียว
ประวัติศาสตร์ ของนักสู้ซามูไร เริ่มขึ้นในศตวรรษที่ 11 เมื่อรัฐบาลฟูจิวาราขุนนางศักดินาอ่อนแอลง จึงไปขอความค้ำจุนจากมินาโมโตกับทาอิรา ซึ่งเป็นเผ่านักรบที่เข้มแข็ง หากทว่าทั้งสองเผ่านี้ก็ไม่ถูกกันและเกิดการปะทะกันเนืองๆ มิหนำซํ้ายังเป็นนักรบเถื่อนที่ไร้วินัย สร้างความเดือดร้อนให้แก่ชาวบ้าน ดังมีบันทึกหนึ่งจารึกไว้ว่า
นักสู้หลายคนถือโอกาสทำการตามใจชอบโดยไม่กลัวเกรงกฎหมาย ซ่องสุมกำลังข่มขู่เจ้าหน้าที่บ้านเมืองตลอดจนราษฎร ยํ่ายีลูกเมียชาวบ้าน ตีชิงเอาสัตว์เลี้ยงไปจากชาวไร่ชาวนา จนไม่อาจทำการเกษตรได้ เที่ยวเดินถือธนูและลูกศรเพ่นพ่านไปทั่วราวกับโจรร้ายเมื่อชาวบ้านไม่อาจพึ่งพาให้รัฐคุ้มครองได้ จึงสามัคคีกันจัดตั้งกองกำลังขึ้นรับมือ โดยรวบรวมจากเหล่าเพื่อนบ้าน และลูกหลาน แต่แรกนั้นก็เป็นกองกำลังเล็กๆ มีอาวุธตามมีตามเกิด เพราะตระกูลฟูจิวารา ผู้ปกครองประเทศ คอยกดดันอยู่ พวกชาวบ้านจึงหาทางออกอีกครั้ง ด้วยการไปขอพึ่งบารมีจากขุนนางที่มีอำนาจ ซึ่งเหล่าขุนนางก็พอใจ ที่มีกองกำลังมาสนับสนุน จึงเลี้ยงดูนักสู้เหล่านี้อย่างดี จนมีนักสู้เกิดขึ้นมากมายในนาม "ซามูไร" ซึ่งแปลว่า "ผู้รับสนอง"