ปลาฉลาม แปลกหายาก
ฉลามกอบลิน
- ฉลามกอบลิน(goblin shark) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Mitsukurina owstoni
- ฉลามกอบลิน เป็น ปลาน้ำลึก อาศัยอยู่ใกล้พื้นทะเล
ในบริเวณที่มีความลึกตั้งแต่ 200 เมตรขึ้นไป
ตัวอย่างที่เคยจับได้ลึกที่สุดจับได้ที่ความลึก 1,300 เมตร
- ฉลามกอบลิน สามารถพบได้ทั่วไปในน้ำลึกที่แสงอาทิตย์ส่องไม่ถึง
พบได้ทั่วตั้งแต่ออสเตรเลีย ไปจนถึงอ่าวเม็กซิโก
แต่แหล่งที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดคือ
บริเวณน้ำลึกโดยรอบประเทศญี่ปุ่น(โดยเป็นสถานที่แรกที่ค้นพบพวกมัน)
- พวกมันมีลักษณะร่างกายที่เด่นชัดคือ
มีสีผิวชมพูอมเทาอันเป็นผลมาจากผิวที่ค่อนข้างกึ่งใสทำให้ห็นเส้นเลือด(ทั่ว
ไปไม่ค่อยมีฉลามผิวสีชมพู) มีปลายจมูกยื่นยาว
สามารถพุ่งขากรรไกรยื่นยาวออกจากปากได้ ครีบหางยาวไม่เป็นแฉก
- ฉลามกอบลิน กินอาหารได้หลากหลาย ทั้งปลาน้ำลึก ปลาหมึก ปู
- ส่วนเรื่องการสืบพันธุ์ของพวกมันนั้นแทบจะมีข้อมูลเลย
แต่ถ้าเทียบเคียงกับสัตว์ในอันดับ(order) Lamniformes
คาดว่าพวกมันจะปฏิสนธิไข่ในท้องแม่ปลา โดยตัวอ่อนจะค่อยๆพัฒนาการอยู่ไข่
จนฟักตัวในท้องแม่ถึงจะคลอดออกมา(ovoviviparous)
- ฉลามกอบลินสามารถยาวได้ถึง 3.3 เมตร หนักได้ถึง 159 กิโลกรัม(โดย
25%ของน้ำหนักตัวของปลานั้นเป็น ตับ ที่ใช้ในการช่วยการลอยตัว
เนื่องจากพวกมันไม่มีถุงลม(swim bladder
หรือที่เรารู้จักกันในชื่อกระเพาะปลา))
- ฉลามกอบลิน ออกล่าเหยื่อโดยใช้อวัยวะรับกระแสไฟฟ้าที่เรียกว่า
electro-sensitive organs ที่อยู่บริเวณปลายจมูก และรอบปาก
เนื่องจากในบริเวณที่มันอยู่อาศัยไม่มีแสงอาทิตย์ประสาทสัมผัสส่วนการมอง
เห็นจึงไม่มีประโยชน์
ทันทีที่มันพบเหยื่อในระยะมันจะยื่นขากรรไกรออกไปงับเหยื่อ
ขณะเดียวกันจะใช้กล้ามเนื้อที่ลักษณะคล้ายลิ้นดูดเหยื่อมายังฟันหน้า
- พวกมันมักจะถูกจับได้ด้วยอวนน้ำลึก
ขากรรไกรของพวกมันมีความต้องการสูงในตลาดทำให้มีราคาสูงถึง
1,500-4,000เหรียญสหรัฐ(45,000 - 120,000บาท)
ปลาฉลามฟันเลื่อย
(อังกฤษ: Sawshark, Sawfish, อันดับ: Pristiophoriformes) เป็นอันดับของปลากระดูกอ่อนอันดับหนึ่ง ในชั้นย่อยปลาฉลาม ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Pristiophoriformes
มีรูปร่างทั่วไปคล้ายกับปลาฉนาก (Pristiformes)
ซึ่งเป็นปลากระดูกอ่อนเช่นเดียวกัน
หากแต่ถูกจัดให้อยู่ในชั้นย่อยปลากระเบน (Batoidea) คือ มีจุดเด่น
มีอวัยวะที่ยื่นออกมาเป็นกระดูกแข็งจากส่วนหน้าที่มีลักษณะแบนราบแต่มีหนาม
แหลมอยู่ข้าง ๆ เป็นซี่ ๆ คล้ายฟันเลื่อยหรือกระบองแข็ง
แต่ต่างจากปลาฉนากตรงที่มีหนวดยาวอยู่ 2 เส้นอยู่ด้วย
และมีซี่กรองเหงือกอยู่หลังตาเหมือนปลาในชั้นย่อยปลาฉลาม
มีครีบหลัง 2 ครีบ และครีบก้น แบ่งออกได้เป็น 2 สกุล คือ Pliotrema ซึ่งมีซี่กรองเหงือก 6 ช่อง กับ Pristiophorus มีซี่กรองเหงือก 5 ช่อง เหมือนเช่นปลาฉลามทั่วไป มีความเต็มที่ประมาณ 170 เซนติเมตร
ปลา
ฉลามฟันเลื่อย พบกระจายพันธุ์อยู่ตามพื้นทะเล
ในเขตของทะเลญี่ปุ่น, แอฟริกาใต้จนถึงแอฟริกาใต้ มีพฤติกรรมความเป็นอยู่
ทั่วไปคล้ายกับปลาฉนาก โดยหากินสัตว์น้ำชนิดต่าง ๆ ตามหน้าดินและปลาต่าง ๆ
เป็นอาหาร ออกลูกเป็นตัว อยู่ในความลึกตั้งแต่ 40 เมตรจนถึงลึกกว่านั้น
ปลาฉลามประดับพู่
- ข้อมูลของฉลามพู่นั้นมีอยู่น้อยมากเนื่องจากพวกมันเป็น ปลาน้ำลึก ซึ่งจะพบเห็นพวกมันในน้ำตื้นได้น้อยมาก
- ปลา
ฉลามประดับพู่(Frilled Shark ในบ้านเราเรียกว่า ฉลามครุย
แต่ผมว่ามันเหมือนมีพู่ติดอยู่บ้างเหงือกมากกว่าก็ขอเรียกว่า
ฉลามประดับพู่แล้วกันครับ) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Chlamydoselachus
anguineus โดยคำว่า anguineus มาจากภาษาลาตินที่มีความหมายว่า
เหมือนงู(snakelike)
- พวกมันเป็น 1 ในสายพันธุ์ฉลามโบราณ ที่มีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน
- ฉลาม
ประดับพู่ มีรูปร่างลักษณะที่แปลกประหลาดอย่างมาก
โดยมีร่างกายคล้ายปลาไหลคดงอ ตัวมีสีน้ำตาลเข้มหรือเทา
โดยมีหัวมีลักษณะคล้ายกิ้งก่า มีจมูกป้านตัด
มีปากขนาดใหญ่ที่ภายในมีพันเรียงเป็นแถวตอนลึกประมาณ 30
ซี่โดยฟันแต่ละซี่มีลักษณะเป็นสามง่ามเล็กๆจำนวนมาก
ที่ทำหน้าที่เป็นตะขอนับพันเพื่อใช้เกี่ยวเหยื่อ
- ลักษณะ
เด่นอีกอย่างของพวกมันคือ มีแถบเหงือกอยู่ข้างละ 6 ริ้ว
โดยเหงือกแต่ละแถบจะปรากฏเป็นพู่ฝอ
ยยื่นโผล่ออกมาอย่างชัดเจนโดยเฉพาะเหงือกแถบหน้าสุดจะมีพู่ยื่นใหญ่กว่า
เหงือกแถบอื่นๆจนเหมือนมีพู่คล้องไว้รอบคอ
และเหงือกแต่ละริ้วก็มีลักษณะลึกเข้าไปในลำคอมากจนเหมือนพวกมันถูกแล่ด้วย
มีดจนคอเกือบขาด(แต่ก็เป็นลักษณะตามธรรมชาติของพวกมัน)
- ไม่
เคยมีใครเคยเห็นทักษะในการล่าเหยื่อของพวกมัน
แต่คาดว่าจะใช้การพุ่งโจมตีอย่างรวดเร็วเหมือนงู โดยซ่อนตัวอยู่ตามซอกหิน
โดยจากการวิเคราะห์เศษอาหารที่อยู่ในกระเพาะพวกมันพบว่า 61%
ของอาหารที่พบเป็นกลุ่มปลาหมึก
ทำให้สามารถอธิบายได้ถึงลักษณะฟันของพวกมันที่เหมือนส้อมแหลมที่เหมาะในการ
เจาะเข้าฝังในเนื้อนุ่มๆ ลื่นของปลาหมึกเพื่อป้องกันการลื่นหลุด
ฉลาม
บาสกิ้น(Basking shark) อาจจะเคยได้ยินชื่อปลาฉลามชนิดนี้มาบ้างในบทความ
กล็อบเตอร์ ก้อนเนื้อลึกลับจากท้องทะเล
วันนี้มารู้จักฉลามบาสกิ้นกันให้ลึกขึ้น
- ปลาฉลามบาสกิ้น(basking shark การที่พวกมันถูกเรียกว่าฉลามบาสกิ้น
เนื่องมาจากการที่มันจะพบเห็นมันหาอาหารบริเวณใกล้ผิวน้ำเนื่องจากพวกมัน
ว่ายน้ำเชื่องช้า ทำให้เห็นเหมือนพวกมันกำลังนอนอาบแดด)
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Cetorhinus maximus โดยคำว่า Cetorhinus มาจากคำว่า
Ketos ซึ่งมีความหมายว่า สัตว์ประหลาดแห่งท้องทะเล หรือวาฬ(marine monster
or Wale) และคำว่า rhinos ที่มีความหมายว่า จมูก ส่วนคำว่า maximus
มาจากภาษาลาติน มีความหมายว่า ใหญ่ยักษ์
- ฉลามบาสกิ้นเป็นปลาขนาดใหญ่ที่สุดในโลกอันดับที่ 2
เป็นรองก็เพียงแต่ฉลามวาฬ(Whale shark)เท่านั้น
โดยเฉลี่ยฉลามบาสกิ้นมีความยาวประมาณ 6 - 8 เมตร น้ำหนักประมาณ 5.2 ตัน
โดยฉลามบาสกิ้นตัวใหญ่ที่สุดที่จับได้ที่แคนนาดาในปี 1851 มีความยาวถึง
12.27 เมตร มีน้ำหนักประมาณ 19 ตัน
- พวกมันสามารถพบได้ในทุกมหาสมุทร ในบริเวณที่มีน้ำอุ่นอุณหภูมิตั้งแต่ 8
- 14.5 องศาเซลเซียส และแพลงตอนหนาแน่น
ในบริเวณผิวน้ำหรือบางครั้งอาจพบได้ที่ความลึกถึง 910 เมตร
อาจจะปรากฏตัวลำพังตัวเดียว หรือเป็นเป็นฝูงเล็กๆ ในฤดูผสมพันธุ์ที่อ่าว
Fundy โดยจะว่ายวนเป็นวงกลม
- ถึงขนาดจะใหญ่โตแต่พวกมันก็ไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ เนื่องจากพวกมันกินแพลงตอน และสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก
- พวกมันเคลื่อนไหวเชื่องช้า เวลาหาอาหารก็จะอ้าปากขนาดใหญ่ให้น้ำไหลผ่านเหงือกที่จะทำหน้าที่กรองอาหาร
- ฉลามบาสกิ้น โดยทั่วไปจะมีร่างกายสีเทาออกน้ำตาล มีปลายจมูกเป็นรูปกรวย
มีปากขนาดใหญ่
มีเหงือกสีดำมีลักษณะเป็นซี่คล้ายขนแข็งขนาดใหญ่ที่พัฒนามาเป็นอย่างดี
สำหรับกรองอาหาร มีริ้วเหงือกภายนอกตั้งแต่ส่วนบนหัวถึงด้านล่างหัว
- ฉลามบาสกิ้น
มีฟันนขนาดเล็กรูปกรวยโค้งเข้าด้านในปากเหมือนกันทั้งด้านบน
และล่างจำนวนมากโดยแต่ละแถวจะมีฟันจิ๋วๆนี้มากถึง หนึ่งพันซี่
- พวกมันถูกล่าเพื่อการพาณิชย์มามาตั้งแต่อดีต
เพื่อนำไปทำอาหารของทั้งคนและสัตว์เลี้ยง ครีบนำไปทำหูฉลาม
และน้ำมันตับปลา(Shark liver oil พบน้ำมันตับปลามากถึง 25%ของน้ำหนักตัว)
จนปัจจุบันลดจำนวนลงอย่างมากจนในบางพื้นที่ไม่สามารถพบเห็นพวกมันแล้ว
ฉลามเมก้าเม้าท์ เป็น 1 ในสายพันธุ์ปลาหายาก พวกมันเป็นปลาฉลามน้ำลึก ที่มีการค้นพบตั้งแต่ช่วงปี 1976 มีการพบเห็นน้อยครั้งมาก
- ฉลามเมก้าเม้าท์(megamouth shark ฉลามปากอภิมหาใหญ่) พวกมันมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Megachasma pelagios
- มีการบันทึกภาพเคลื่อนไหวของพวกมันได้ 3 ครั้ง
ทำให้ทราบว่าพวกมันจะว่ายน้ำไปพร้อมๆกับการอ้าปากขนาดใหญ่เพื่อให้น้ำไหล
ผ่าน เพื่อกรองแพลงตอน และแมงกะพรุนจากน้ำทะเล กินเป็นอาหาร
- ฉลามเมก้าเม้าส์ มีลักษณะ คือ มีหัวขนาดใหญ่ ริมฝีปากหนา
มีร่างกายสีน้ำตาลเข้มด้านบน และสีขาวด้านล่าง มีริ้วเหงือกที่ใช้กรองอาหาร
พวกมันว่ายน้ำได้ช้า มีเนื้ออ่อนนุ่ม
- ฉลามเมก้าเม้าท์ สามารถยาวได้ถึง 5.5 เมตร โดยทั่วไปตัวผู้ยาว 4 เมตร และตัวเมียยาว 5 เมตร มีน้ำหนักได้ถึง 1,215(ตามที่มีรายงาน)
- ฉลามเมก้าเม้าท์สามารถอ้าปากได้กว้างถึง 1.3 เมตร
ภายในมีพันเล็กๆจำนวนมาก บริเวณรอบๆปากจะแถบที่สามารถเรืองแสงได้(luminous
photophores) เพื่อใช้ล่อเหยื่อ
- โดยในปี 1990 สามารถจับฉลามเมก้าเม้าท์เพศผู้ความยาว 4.9 เมตร ได้ที่
Dana Point ในแคลิฟอร์เนีย และได้มีการติดแถบติดติดตามตัวด้วยสัญญาณวิทยุ
แถบนี้ทำให้ทราบว่าในตอนกลางวันพวกมันจะท่องอยู่ในความลึก 120-160 เมตร
แต่เมื่อพระอาทิตย์ตกดินพวกมันจะขึ้นมาอยู่ในระดับความลึกเพียง 12-25 เมตร
จากการติดตามเป็นเวลา 2 วัน 2 คืน
ทำให้ทราบว่าพวกมันเคลื่อนไหวช้ามากโดยมีความเร็วเฉลี่ยเพียง 1.5-2.1
กิโลเมตร/ชั่วโมงเท่านั้น
- ฉลามกรีนแลนด์(Greenland shark) มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Somniosus microcephalus
- พวกมันมีถิ่นที่อยู่อาศัยในทางตอนเหนือของมหาสมุทรแอตแลนติก บริวเวณ กรีนแลนด์(Greenland) และไอซ์(Iceland) ทำให้พวกมันเป็นฉลามที่มีถิ่นที่อยู่อาศัยขึ้นไปทางเหนือไกลกว่า ฉลาม สายพันธุ์ใด พวกมันอาศัยอยู่ในบริเวณที่มีน้ำเย็นตั้งแต่ -0.6 ถึง 10 องศาเซลเซียส และมีการพบพวกมันในระดับความลึกถึง 2,200 เมตรจากระดับน้ำทะเลโดยยานดำน้ำ
- ฉลามกรีนแลนด์ มีขนาดร่างกายใกล้เคียงฉลามขาวยักษ์ โดยฉลามกรีนแลนด์สามารถยาวได้ถึง 6.4 เมตร หนักได้ถึง 1 ตัน และเป็นไปได้ที่ฉลามกรีนแลนด์จะยาวได้ถึง 7.3 เมตร และหนักว่า 1.4 ตัน อย่างไรก็ตามโดยทั่วไปจะพบฉลามกรีนแลนด์ยาวประมาณ 3-4.8 เมตร หนักประมาณ 400 กิโลกรัมขึ้นไป คาดว่าพวกมันอาจจะมีอายุยืนถึง 200 ปี
- ฉลามกรีนแลนด์จัดเป็นนักล่าในกลุ่ม เอเป็กพรีเดเตอร์(Apex predator นักล่าที่อยู่สูงสุดในห่วงโซ่อาหาร คือ ไม่มีสัตว์อื่นใดล่ามันเป็นอาหารตามธรรมชาติ แต่พวกมันโชคร้ายที่เจอมนุษย์) พวกมันกินปลา ไล่ไปถึงสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในทะเลเช่น แมวน้ำ พวกมันอาจจะมีชื่อเสียงน่ากลัวจากการที่นานครั้งจะมีการพบซาก หมีขั้วโลก กวางกวางเรนเดียร์ กวางคารีบูในท้องของพวกมัน แต่คาดว่ามันจะกินซากสัตว์ที่ตายแล้วมากกว่าการที่มันจะออกไล่ล่า หมีขั้วโลก และกวางเป็นอาหาร
- มีหลักฐานว่าฉลามกรีนแลนด์ในแคนนาดา และบริเวณปากแม่น้ำอาร์ติก จะซุ่มรอเพื่อล่า กวางคารีบู แต่ก็ไม่มีหลักฐานยืนยันแน่ชัดว่าพฤติกรรมที่นานๆพบนี้เป็นพฤติกรรมปกติของ พวกมัน
- พวกมันไม่ถือว่าเป็นอันตรายต่อมนุษย์ อาจจะมีแค่เรื่องเล่าว่าพวกมันโจมตีเรือแคนูของชาวเอสกิโม
- อีกเรื่องประหลาดของพวกมันก็คือ เรื่องเพื่อนซี้คิดไม่ซื่อของพวกมัน ที่เป็นปรสิตที่มีชื่อว่า Copepod Ommatokoita Elongata ที่ใช้ดวงตาของมันเป็นบ้าน และใช้เนื้อเยื่อกระจกตา(Corneal tissue)ของพวกมันเป็นอาหาร ปรสิตพวกนี้ความความยาวถึง 5 เซ็นติเมตร ที่จะฝังส่วนท้ายเข้าไปในดวงตาของฉลามกรีนแลนด์ โดยที่ฉลามกรีนแลนด์เกือบทุกตัวจะมีปรสิตอาศัยอยู่ในตาอย่างน้อย 1 ข้าง
- การติดปรสิตพวกนี้ร้ายแรงถึงขั้นทำให้ฉลามกรีนแลนด์ตาบอดได้ทีเดียว และมีจำนวนมากที่ตาบอดทั้งสองข้างแต่เนื่องจากฉลามกรีนแลนด์อาศัยอยู่ในน้ำ ลึกที่แสงอาทิตย์ส่องไม่ถึงการที่พวกมันตาบอกก็ไม่มีผลกระทบอะไรมากนักกับ พวกมันเนื่องจากพวกมันก็ไม่ค่อยใช้ประสาทการมองเห็นในการล่าอยู่แล้ว
- แต่ปรสิตพวกนี้ก็ไม่ได้อาศัยอยู่กับฉลามกรีนแลนด์ในลักษณะกาฝากฝ่าย เดียว เนื่องจากพวกมันเป็นปรสิตที่สามารถเรืองแสงได้ แสงที่เรืองออกมาจะล่าปลามาให้ฉลามกรีนแลนด์กินอีกทอดหนึ่ง
- เนื้อของฉลามกรีนแลนด์นั้นมีพิษจาก กรดยูริค(Uric acid) และ trimethylamine oxide แต่ชาวไอซ์แลนด์ก็มีวิธีปรุงเนื้อฉลามกรีนแลนด์เป็นเมนูพิศดาร ที่เรียกว่า ฉลามเน่า(Hákarl หรือ kæstur hákarl) ที่ได้ชื่อว่าเป็น อาหารที่เหม็นที่สุดในโลก
- ฉลามกรีนแลนด์ ถูกชาวไอซ์แลนด์ล่ามาเป็นเวลานับร้อยปีๆ เพื่อนำเนื้อมาทำอาหาร นำหนังมาทำของเท้า และนำฟันมาทำเครื่องมือ